RFM คืออะไร สำคัญยังไงกับการจัดการลูกค้าในคลินิก ของคุณ

RFM คืออะไร สำคัญยังไงกับการจัดการลูกค้าในคลินิก ของคุณ

8 พฤษภาคม 2568 เทคนิคบริหารคลินิก 178เข้าชม

RFM คือ การวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าโดยใช้ กลยุทธ์ 3F คือ ปัจจัยหลัก (Recency, Frequency, and Monetary) ที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจและจัดกลุ่มลูกค้าได้ดีขึ้น RFM Model คือ ตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยในการ การแบ่งกลุ่มลูกค้า และพัฒนาแผนการตลาดที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

การวิเคราะห์ RFM model จะช่วยให้ธุรกิจคลินิกของเราเข้าใจพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า และสามารถปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย การดูแลลูกค้า และ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มลูกค้าและประเภทสินค้าที่ซื้อ ได้ หรือกล่าวได้ว่านี่คือการ การแบ่งกลุ่มลูกค้า ตามความสำคัญและพฤติกรรมการซื้อ เพื่อทำให้การสื่อสารกับลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้ RFM Analysis ในคลินิกความงามสำคัญมาก เพราะช่วยให้เจ้าของคลินิกสามารถเข้าใจลูกค้าของตนได้ดีขึ้น และปรับกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การวิเคราะห์ RFM ช่วยให้คลินิกสามารถเลือกกลุ่มลูกค้าที่ห่างหายไป หรือกลุ่มที่ใช้บริการบ่อยแต่ใช้จ่ายน้อย มาจัดทำโปรโมชันหรือปรับปรุงการบริการให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อรายได้และการเติบโตของคลินิกนั่นเอง

  พร้อมเปลี่ยนข้อมูลลูกค้าให้เป็นกำไร ด้วย RFM Analysis แล้วหรือยัง?

ProClinic – โปรแกรมบริหารคลินิก ช่วยให้คุณใช้ RFM Model ได้อย่างง่ายดาย [ เพิ่มเพื่อนผ่านไลน์ ] ยกระดับการตลาดคลินิกของคุณให้เหนือกว่าคู่แข่งด้วยระบบ RFM อัจฉริยะ


RFM คืออะไร ? เข้าใจพื้นฐาน และความสำคัญในการจัดการลูกค้า


RFM คืออะไร สำคัญยังไงกับการจัดการลูกค้าในคลินิก ของคุณ


RFM คือ การวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าผ่าน 3 ปัจจัยหลัก ในกลยุทธ์ 3F คือ Recency (R), Frequency (F) และ Monetary (M) ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมิน และ การแบ่งกลุ่มลูกค้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการวิเคราะห์ RFM Model คือ เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มลูกค้าและประเภทสินค้าที่ซื้อ และสามารถพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

1. R - Recency คืออะไร? ความใหม่ของการซื้อ

Recency คือ ระยะเวลาที่ผ่านมานับจากการที่ลูกค้าได้ทำการซื้อสินค้าหรือใช้บริการครั้งล่าสุด ลูกค้าที่มี Recency สูง คือกลุ่มลูกค้าที่เพิ่งซื้อไปไม่นาน ซึ่งมักจะแสดงถึงความสนใจในสินค้าหรือบริการของเรามากกว่า

ตัวอย่าง : ถ้าลูกค้าเพิ่งเข้ารับบริการจากคลินิกความงามเมื่อไม่นานมานี้ ลูกค้ากลุ่มนี้จะมี Recency สูง และมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้บริการซ้ำในอนาคต

2. F - Frequency ความถี่ในการซื้อ

Frequency คือ จำนวนครั้งที่ลูกค้าซื้อสินค้าหรือใช้บริการในระยะเวลาที่กำหนด ลูกค้าที่มี Frequency สูงคือกลุ่มที่ใช้สินค้าหรือบริการบ่อยครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความภักดีและความสนใจที่มีต่อธุรกิจของคุณ

ตัวอย่าง : ลูกค้าที่มาที่คลินิกความงามอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกเดือน เพื่อทำทรีตเมนต์ จะมี Frequency สูง ซึ่งธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อเสนอบริการหรือโปรโมชั่นที่เหมาะสมได้

3. M - Monetary จำนวนเงินที่ใช้ในการซื้อ

Monetary คือ การวัดปริมาณเงินที่ลูกค้าใช้ในการซื้อสินค้า หรือใช้บริการ ลูกค้าที่ใช้จ่ายมากจะมี Monetary สูง ซึ่งมักจะหมายถึงลูกค้าที่มีมูลค่าสูงต่อธุรกิจ

ตัวอย่าง : ลูกค้าที่ใช้จ่ายเงินมากในการทำทรีตเมนต์แพง ๆ หรือซื้อแพ็กเกจบริการในคลินิกความงาม จะมี Monetary สูง ซึ่งธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อให้บริการพิเศษ หรือจัดโปรโมชันแบบพรีเมียม


การใช้ RFM Analysis ในการจัดการลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการตลาด


RFM คืออะไร สำคัญยังไงกับการจัดการลูกค้าในคลินิก ของคุณ


การวิเคราะห์ RFM ช่วยให้ธุรกิจสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าโดยการใช้คะแนนจาก RFM Model ทำให้สามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กลุ่มลูกค้าที่มี Recency สูง และ Frequency บ่อย จะมีความภักดีและมีแนวโน้มที่จะซื้อซ้ำ นำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม เช่น การเสนอโปรโมชันพิเศษให้แก่ลูกค้ากลุ่มที่ใช้จ่ายสูง หรือการส่งอีเมลติดตามลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือบริการในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพราะเราเข้าใจลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถให้บริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละช่วงเวลาได้


ความสำคัญของการใช้ RFM ในธุรกิจคลินิก

  • ความใกล้ชิดกับลูกค้า ยิ่งเราล้วงลึกถึงพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยให้ทำความเข้าใจถึงความต้องการซื้อของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดีขึ้น 
  • เพิ่มประสิทธิภาพการตลาด การใช้ข้อมูลจาก RFM Analysis จะช่วยให้เรามีไอเดียปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดที่ตรงจุด ตรงใจ ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการเสนอโปรโมชันหรือการบริการที่เหมาะสม 
  • รักษาความสัมพันธ์ ทำให้ลูกค้าทุกคนได้รับประสบการณ์ที่ดีและตรงกับความคาดหวัง ซึ่งจะช่วยสร้างความประทับใจ กระตุ้นให้พวกเขากลับมาใช้บริการซ้ำไปตลอดได้


เราจะวัดค่า Recency Frequency Monetary (RFM) ได้อย่างไร


RFM คืออะไร สำคัญยังไงกับการจัดการลูกค้าในคลินิก ของคุณ


RFM คือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ และ การแบ่งกลุ่มลูกค้า ตามพฤติกรรมของพวกเขาได้อย่างเป็นระบบ เรามาดูวิธีการวัดค่าแต่ละปัจจัยใน RFM Model กัน

1. การวัดค่า R - Recency

Recency คือ ระยะเวลาที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับการใช้บริการครั้งล่าสุดของลูกค้า โดยวิธีการวัด คือ คำนวณจำนวนวันตั้งแต่ลูกค้าครั้งสุดท้ายที่ทำการซื้อหรือใช้บริการ

ตัวอย่างเช่น

  • ลูกค้าที่ซื้อสินค้าครั้งล่าสุดเมื่อ 10 วันก่อนถือว่าเป็นลูกค้าที่มี Recency สูง
  • ลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อสินค้าเลยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จะมี Recency ต่ำ

ซึ่งเราสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าโดยอ้างอิงจาก Recency เช่น กลุ่มลูกค้าที่ทำการซื้อในช่วง 30 วันล่าสุด และกลุ่มที่ไม่ได้ซื้อในช่วง 6 เดือน เป็นต้น

2. การวัดค่า F - Frequency

Frequency หรือความถี่ในการซื้อ คือ จำนวนครั้งที่ลูกค้าได้ทำการซื้อสินค้าภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง วัดโดยการนับจำนวนครั้งที่ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี)

ตัวอย่างเช่น

  • ลูกค้าที่ซื้อสินค้าครั้งแรก 1 ครั้งใน 1 เดือน จะมี Frequency 1
  • ลูกค้าที่ซื้อสินค้าทุกเดือนในระยะเวลา 6 เดือน จะมี Frequency 5

การวัดค่า Frequency จะช่วยให้เราแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มลูกค้าที่ซื้อบ่อย กลุ่มลูกค้าที่ซื้อไม่บ่อย เพื่อออกแบบกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมสำหรับดึงลูกค้าทั้งสองกลุ่มไว้ได้

3. การวัดค่า M - Monetary

Monetary คือ การวัดจำนวนเงินที่ลูกค้าจ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการ วิธีการวัดคือการคำนวณยอดรวมของเงินที่ลูกค้าจ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ตัวอย่างเช่น

  • ลูกค้าที่ใช้จ่าย 5,000 บาท ในการซื้อสินค้าในระยะเวลา 6 เดือน จะมี Monetary 5,000 บาท
  • ลูกค้าที่ใช้จ่าย 500 บาททุกเดือน จะมี Monetary 500 บาทต่อเดือน

โดยเราสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการแบ่งกลุ่มลูกค้า เช่น กลุ่มลูกค้าที่ใช้จ่ายสูงเพื่อเสนอโปรโมชันหรือบริการพิเศษที่เหมาะสมกับลูกค้าต่อไป


การใช้งาน RFM ในการวิเคราะห์ลูกค้า

การนำ Recency, Frequency และ Monetary มาวิเคราะห์ร่วมกันจะช่วยให้ธุรกิจคลินิกของเรามีกลุ่มลูกค้าที่มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจของ RFM Analysis

  • การแบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segments ตัวอย่าง) ใช้คะแนนจากทั้ง 3 ปัจจัย เช่น ลูกค้าที่มี R/F/M สูง จะเป็นกลุ่มที่มีความภักดีต่อแบรนด์ และสามารถสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจในระยะยาวได้ 
  • กำหนดกลยุทธ์การตลาด การรู้จักลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ ช่วยให้คลินิกกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม เช่น การเสนอโบนัสให้กับลูกค้าที่มี Recency สูง เพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ
  • การยกระดับมูลค่าของลูกค้า อัปเกรดให้ลูกค้าเป็นคนพิเศษของคลินิก เพื่อรักษาลูกค้าเดิม และเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าใหม่ได้


แบ่งกลุ่มลูกค้าด้วย RFM Analysis


RFM คืออะไร สำคัญยังไงกับการจัดการลูกค้าในคลินิก ของคุณ


การแบ่งกลุ่มลูกค้าโดยใช้ RFM Analysis คือ เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า โดยใช้ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ Recency, Frequency และ Monetary เพื่อให้ธุรกิจสามารถทำการตลาดได้อย่างแม่นยำ และได้ผลทางการตลาดมากขึ้น เราสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าตามปัจจัยหลัก (R, F, M) ก่อนนำไปผสมผสานกันได้ดังนี้

1. การแบ่งกลุ่มตาม Recency (R)

Recency วัดความใหม่ของการซื้อ โดยนับตั้งแต่ลูกค้าครั้งสุดท้ายที่ทำการซื้อสินค้าหรือบริการ

  • กลุ่มลูกค้าที่มี Recency สูง คือลูกค้าที่เพิ่งซื้อบริการในระยะเวลาไม่นาน เป็นกลุ่มที่มีความสนใจสูงที่สุด ใช้กลยุทธ์ในการกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ 
  • กลุ่มลูกค้าที่มี Recency ต่ำ คือลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อมาเป็นเวลานาน ต้องมีการพิจารณากลยุทธ์ใหม่ ๆ เช่น การให้ส่วนลด หรือส่งโปรโมชันเพื่อดึงลูกค้ากลับมา

2. การแบ่งกลุ่มตาม Frequency (F)

Frequency วัดความถี่ในการซื้อสินค้า คอร์ส หรือการบริการต่าง ๆ จากคลินิกในช่วงระยะเวลาที่กำหนด ลูกค้าที่มี Frequency สูง มักจะเป็นลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์คลินิกกลุ่มลูกค้าที่มี 

  • Frequency สูง เป็นลูกค้าที่มีความภักดีต่อคลินิก ควรใช้กลยุทธ์ในการรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น โปรแกรมสะสมแต้ม หรือ Loyalty Program เพื่อรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ได้
  • กลุ่มลูกค้าที่มี Frequency ต่ำ คือลูกค้าที่ซื้อบริการไม่บ่อยนัก สามารถใช้กลยุทธ์ในการกระตุ้นให้พวกเขาซื้อสินค้าบ่อยขึ้น เช่น คอร์สราคาพิเศษ หรือข้อเสนอพิเศษในการดึงดูดความสนใจ

3. การแบ่งกลุ่มตาม Monetary (M)

Monetary วัดจำนวนเงินที่ใช้ในการซื้อ หรือกำลังซื้อของลูกค้า โดยลูกค้าที่ใช้จ่ายสูงจะมีมูลค่ามากต่อคลินิก

  • กลุ่มลูกค้าที่ใช้จ่ายสูง คือลูกค้าที่มีกำลังจ่ายสูง และทำการซื้อบริการในปริมาณมาก ธุรกิจควรให้ความสำคัญ เราอาจให้ข้อเสนอพิเศษ หรือยกระดับให้เป็น ลูกค้า VIP ของคลินิก เพื่อให้พวกเขาได้รับการบริการแบบพรีเมียมเสมอ
  • กลุ่มลูกค้าที่ใช้จ่ายต่ำ คือลูกค้าที่ใช้จ่ายน้อย ควรพิจารณากลยุทธ์ในการเพิ่มมูลค่าการซื้อของพวกเขา เช่น การเสนอโปรโมชันที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ


การผสมปัจจัยทั้ง 3 ในการแบ่งกลุ่มลูกค้า


RFM คืออะไร สำคัญยังไงกับการจัดการลูกค้าในคลินิก ของคุณ


การใช้ RFM Analysis นั้น พิจารณาแค่ปัจจัยเดียวอาจไม่เพียงพอ ในการแบ่งกลุ่มลูกค้า ดังนั้นจึงต้องนำทั้ง 3 ปัจจัยมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อให้การแบ่งกลุ่มลูกค้ามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น

  • กลุ่มลูกค้าประเภท A (Top Customers) เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีทั้ง Recency Frequency และ Monetary สูง กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น และมีมูลค่าต่อคลินิกเรามากที่สุด ควรให้การดูแลเป็นพิเศษ โดยอาจจะเสนอบริการหรือสินค้าพิเศษให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้
  • กลุ่มลูกค้าประเภท B (Frequent Customers) เป็นกลุ่มลูกค้าที่มี Recency สูง แต่ Frequency หรือ Monetary ต่ำ กลุ่มนี้อาจต้องการการกระตุ้นให้ซื้อบ่อยขึ้น โดยการใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การเสนอส่วนลดหรือโปรโมชันที่มีแรงจูงใจ
  • กลุ่มลูกค้าประเภท C (At Risk Customers) เป็นกลุ่มลูกค้าที่มี Recency Frequency และ Monetary ต่ำ กลุ่มนี้อาจต้องการการฟื้นฟูความสนใจ หรือการดึงกลับโดยเสนอสิทธิประโยชน์หรือข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติม


ประโยชน์จากการแบ่งกลุ่มลูกค้าด้วย RFM Analysis

การแบ่งกลุ่มลูกค้าด้วย RFM Analysis มีข้อดีที่ช่วยให้คลินิกเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงลูกค้าได้ ดังนี้

  • ปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับลูกค้า ด้วยข้อมูล RFM ทำให้ออกแบบกลยุทธ์การตลาดที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ ตรงใจ เข้าใจลูกค้ามากกว่าคู่แข่ง
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาลูกค้า จากพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าแต่ละกลุ่ม จะช่วยให้เรารักษาลูกค้าเดิม และเพิ่มความรู้สึกพิเศษของลูกค้าด้วยการเสนอโบนัส การยกระดับบริการ หรือโปรโมชันที่เหมาะสมได้
  • เพิ่มรายได้ เพิ่มยอดขาย และเกิดการซื้อซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ


📚 บทความน่าอ่านเพิ่มเติม เครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ RFM และการจัดการ

การวิเคราะห์ RFM จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อทำงานร่วมกับเครื่องมือและกลยุทธ์ในการจัดการข้อมูลและการสื่อสารกับลูกค้าอย่างเป็นระบบ ศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยกระดับการบริหารคลินิกของคุณ


กลยุทธ์การตลาดแบบใด ที่ควรใช้กับแต่ละกลุ่มลูกค้า


RFM คืออะไร สำคัญยังไงกับการจัดการลูกค้าในคลินิก ของคุณ


เมื่อเราได้ทำการ การแบ่งกลุ่มลูกค้า ด้วย RFM Analysis แล้ว ลำดับต่อไปคือการวางกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ในธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เช่น คลินิกความงาม นิยมใช้ RFM Model แบบ 10 กลุ่ม (หรือ 12 กลุ่มสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่) ซึ่งมีการใช้กลยุทธ์ที่ตอบสนองลูกค้าที่แตกต่างกัน มาดูกันว่า Customer Segments ตัวอย่าง และกลยุทธ์ที่ควรใช้มีอะไรบ้าง

1. Champions

ลูกค้าที่ซื้อบ่อยและใช้จ่ายสูง (R/F/M สูง)ควรให้รางวัลหรือข้อเสนอพิเศษเพื่อรักษาความภักดี เช่น การอัปเกรดบริการฟรี หรือของขวัญพิเศษ

2. Loyal Customers

ลูกค้าที่ซื้อซ้ำอย่างสม่ำเสมอควรสร้าง โปรแกรมสะสมแต้ม หรือสิทธิพิเศษเฉพาะกลุ่ม

3. Potential Loyalists

ลูกค้าใหม่ที่เริ่มซื้อซ้ำ (R/F สูง, M ปานกลาง) ส่งเสริมให้กลายเป็นลูกค้าประจำด้วยข้อเสนอที่น่าสนใจ เช่น โปรโมชันแบบผูกพันระยะยาว

4. New Customers

กลุ่มลูกค้าที่เพิ่งเริ่มซื้อให้ข้อมูลและการต้อนรับที่ดี และเน้นการกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ เช่น เทคนิค Up-Sell หรือ Cross-sell

5. Promising

ลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อซ้ำ ส่งโปรโมชันหรือข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการซื้อ เช่น แพ็กเกจลดราคาที่พ่วงกับสินค้าใหม่

6. Needs Attention

ลูกค้าที่เคยซื้อแต่เริ่มห่างหายควรติดต่อและเสนอสิ่งจูงใจเพื่อดึงกลับมา เช่น การให้โปรโมชันที่จำกัดเวลา เพื่อสร้างความคุ้มค่าสูงสุด

7. About to Sleep

ลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อมาระยะหนึ่ง (R ต่ำลง) ส่งข้อเสนอพิเศษหรือสอบถามความต้องการผ่าน SMS หรือ LINE เพื่อแจกคูปองพิเศษ

8. At Risk

ลูกค้าที่เคยซื้อบ่อยแต่หยุดซื้อ (F สูงในอดีต, R ต่ำ) ตรวจสอบสาเหตุและพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ เช่น การแจกโปรโมชันพิเศษ หรือแพ็กเกจสุดคุ้มพร้อมของแถม

9. Can't Lose Them

ลูกค้าที่มีมูลค่าสูงแต่หายไป (M สูง, R/F ต่ำ) ควรดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อดึงกลับมา เช่น การยิงแอดโฆษณาไปยังกลุ่มลูกค้าโดยตรง พร้อมแคมเปญสุดคุ้ม

10. Hibernating

ลูกค้าที่ไม่เคลื่อนไหว (R/F/M ต่ำทั้งหมด) พิจารณาว่าควรลงทุนในการดึงกลับมาหรือไม่ โดยลองเก็บข้อมูลความพึงพอใจโดยไม่ยัดเยียดการขาย

หลังจากธุรกิจเติบโตขึ้นมากจนกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ หรือคลินิกที่มีฐานลูกค้าหลักพันถึงหมื่นคน อาจเลือกใช้ RFM ที่มีการแบ่งลูกค้าออกเป็น 12 กลุ่ม เพื่อเก็บรายละเอียดลูกค้าให้แม่นยำมากขึ้น ก่อนนำไปสู่การวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดต่อไป


ProClinic ตัวช่วยในการจัดการ RFM ในคลินิก

RFM คืออะไร สำคัญยังไงกับการจัดการลูกค้าในคลินิก ของคุณ

เนื่องจากการใช้ RFM Model นั้น สำคัญกับการเติบโตของยอดขายในคลินิก เราจึงควรมีโปรแกรมที่มาช่วยเราเก็บข้อมูล วิเคราะห์ จัดการและแปรผลเพื่อให้เรานำ RFM Analysis มาวางแผนการตลาดต่อได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลาบนข้อมูลที่แม่นยำ และเป็นข้อมูลเชิงลึกสำหรับคลินิกเราอย่างจำเพาะ เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าในคลินิกความงามได้อย่างเหมาะสมกับ และถือเป็นหนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจลูกค้า และปรับกลยุทธ์การตลาดแบบเจาะกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำ


วิธีการทำ RFM สำหรับคลินิกความงาม

1. รวดเร็วและเป็น Real-time โดยข้อมูลลูกค้าต้องอัปเดตทันทีหลังการใช้บริการ เพื่อไม่พลาดการวิเคราะห์หรือส่งข้อเสนอพิเศษได้ทันเวลา

2. ตั้งเกณฑ์ชัดเจนว่าให้คะแนนยังไง โดยเริ่มจากการกำหนดระดับของลูกค้าให้ชัดว่า

  • R (Recency): ถ้ามาใช้บริการไม่นานนี้ จะได้คะแนนสูง ถ้ามานานแล้วจะได้คะแนนต่ำ
  • F (Frequency): ถ้ามาใช้บริการบ่อย จะได้คะแนนสูง ถ้ามาน้อยจะได้คะแนนต่ำ
  • M (Monetary): ถ้าใช้จ่ายเยอะ จะได้คะแนนสูง ถ้าใช้จ่ายน้อยจะได้คะแนนต่ำ

หลังจากนั้นต้องกำหนดช่วงคะแนนของแต่ละอย่างให้แน่นอน เช่น แบ่งเป็น 5 ระดับ (1–5 คะแนน) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์

3. จัดทำแมปคะแนนรวมเป็น Segments ที่เข้าใจง่าย

  • นำ RFM Score มารวม และแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้า
  • ไม่แบ่งละเอียดเกินไป จนทำให้ใช้งานจริงยาก

4. มีการ Customize ให้ตรงกับธุรกิจคลินิกความงาม

  • เช่น เพิ่มน้ำหนักให้ “Recency” เพราะบริการความงามต้องการความต่อเนื่อง
  • หรือพิจารณา "ประเภทหัตถการ" ร่วมกับการให้คะแนน

5. นำไปใช้จริงได้ทันที โดยแต่ละกลุ่มลูกค้าที่ได้ ต้องมีกลยุทธ์รองรับ เช่น จัดแคมเปญรักษาฐานลูกค้า ดึงลูกค้าที่หายไปกลับมา หรือกระตุ้นให้ลูกค้าใหม่ซื้อซ้ำ

สิ่งที่ ProClinic จะช่วยคุณได้ นั่นก็คือ การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าออกเป็น 8 กลุ่ม ที่นำไปใช้งานได้จริง ตามพฤติกรรมของลูกค้าสำหรับคลินิกความงามโดยเฉพาะ มาดูกันว่า ProClinic จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยจัดการ RFM Analysis ในคลินิกได้อย่างไรบ้าง

  1. รวบรวมข้อมูลลูกค้าได้อัตโนมัติ โดย ProClinic สามารถช่วยคลินิกในการเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างมีระบบ โดยบันทึกข้อมูลทุกการซื้อบริการ เช่น วันเวลาในการมาใช้บริการ จำนวนเงินที่จ่าย และบริการที่เลือกใช้ การเก็บข้อมูลนี้จะทำให้คลินิกสามารถวิเคราะห์ Recency (ความถี่ล่าสุดในการซื้อ) ได้อย่างแม่นยำและทันที
  2. การแบ่งกลุ่มลูกค้าตาม RFM Analysis ของ ProClinic ได้แก่ 
    • Champions คือลูกค้าที่ดีที่สุด ใช้จ่ายสูงและมาซื้อบ่อย โดยเราจะเน้นการดูแลพิเศษ และรักษาความสัมพันธ์อันดี
    • Loyalty คือกลุ่มลูกค้าที่มีการซื้อประจำ แต่ยอดซื้ออาจไม่สูงมาก เน้นไปที่การกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มด้วยโปรแกรมสะสมแต้ม
    • High Spending คือลูกค้าที่ยอดใช้จ่ายสูง แต่ความถี่อาจไม่บ่อย เราอาจมีการเสนอแพ็กเกจพรีเมียม หรือการ Upsell เพื่อกระตุ้นการซื้อที่เพิ่มขึ้น
    • Good คือลูกค้าที่มีแนวโน้มดีทั้งความถี่และยอดใช้จ่าย โดยเน้นไปที่สร้าง Loyalty ในระยะยาว
    • Cheap คือลูกค้าที่มาบ่อยแต่ใช้จ่ายน้อย ต้องมีการกระตุ้นให้ซื้อเพิ่ม
    • Lost Loyal คือลูกค้าที่เคยเป็น Loyal แต่เริ่มห่าง โดยเราอาจทำแคมเปญเพื่อเชิญกลับมาพร้อมของสมนาคุณ
    • Lost Good คือลูกค้าที่ห่างหาย ซึ่งต้องมีการส่งข้อเสนอเร่งด่วนเพื่อดึงกลับมา
    • Lost Cheap คือกลุ่มลูกค้าที่ใช้จ่ายน้อยและห่างหาย อาจจะต้องมีการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจว่าจะดึงกลับ หรือปล่อยไป
  3. การติดตามผลและการกระตุ้นลูกค้า โดย ProClinic ช่วยให้สามารถติดตามการใช้งาน และการซื้อซ้ำจากลูกค้าได้อย่างสะดวก ด้วย Loyalty Program ที่ช่วยจัดระดับความพิเศษของลูกค้าในคลินิกได้
  4. การสื่อสารที่ตรงจุด ผ่าน LINE CRM ที่ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกลูกค้าอีกขั้น ทั้งการแจ้งเตือนนัดหมาย การตรวจสอบยอดเงินใน Wallet เช็กโปรโมชันพิเศษ ดูรีวิว หรือส่งโปรโมชันหาลูกค้า
  5. การรายงานและการวิเคราะห์เชิงลึกที่สามารถแสดงข้อมูลลูกค้า และสามารถนำไปสู่วิธี RFM Analysis ให้แก่ผู้บริหารคลินิก ซึ่งทำให้สามารถประเมินผลการตลาดและการให้บริการได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้คลินิกสามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันที และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้า

RFM เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมและความสัมพันธ์ของลูกค้ากับคลินิก โดยการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามสามปัจจัยหลักคือ Recency Frequency และ Monetary เพื่อให้เรามองเห็นภาพของลักษณะการใช้บริการของลูกค้า และปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มลูกค้าจริงของคลินิกเราได้ดีขึ้น การใช้ RFM Analysis ในคลินิกทำให้สามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การแยกลูกค้าประเภทที่ภักดี ลูกค้าที่มีความถี่ในการใช้บริการสูง หรือกลุ่มที่ไม่ได้กลับมาใช้บริการเป็นระยะเวลานาน ทำให้คลินิกสามารถวางแผนการตลาดและส่งเสริมการขายได้อย่างตรงใจ

การใช้เครื่องมือโปรแกรมคลินิกที่ตอบโจทย์ ใช้งานง่าย ช่วยให้บริหารแบบประหยัดเวลา อย่าง ProClinic จะช่วยให้การรวบรวมข้อมูลลูกค้า การวิเคราะห์ และการแบ่งกลุ่มเป็นไปได้อย่างสะดวกและแม่นยำ ส่งผลให้คลินิกสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดได้อย่างทันที ไม่ตกเทรนด์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลลูกค้าได้ โดยสรุปแล้ว RFM เป็นอีกเครื่องมือสำคัญ สำหรับการช่วยให้เรารู้จักลูกค้าของคลินิกอย่างดีได้ นำไปสู่การจัดการโปรโมชัน และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย


คำถามที่พบบ่อย


RFM  ย่อมาจากอะไร

RFM ย่อมาจาก Recency, Frequency and Monetary


กลุ่ม RFM ของ ProClinic ใช้งานได้จริงไหม

ใช้งานได้จริง โดยลูกค้าปัจจุบันสามารถตามลูกค้าเก่ากลับมาได้ 10-20% ซึ่งช่วยให้คลินิกมียอดขายเพิ่มขึ้นได้


RFM Analysis คืออะไร

การวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าผ่าน 3 ปัจจัย เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้า และปรับกลุยทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสมมากขึ้น


แนะนำระบบคลินิกจาก ProClinic ดียังไง

ProClinic เป็นระบบบริหารจัดการคลินิกที่ช่วยให้การเปิด และดำเนินงานคลินิกความงามเป็นเรื่องง่าย ตั้งแต่การจัดการการนัดหมาย จัดการประวัติผู้ป่วย การดูแลการเงิน รวมถึงระบบการจัดการสต๊อกสินค้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ ทำให้คลินิกสามารถให้บริการได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เมื่อนำมาใช้ร่วมกัน RFM Analysis จะช่วยให้คลินิกสามารถบริหารจัดการทั้งการบริการลูกค้า และการตลาดได้อย่างครบวงจร เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง


การจัดกลุ่มลูกค้าคืออะไร

การแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามลักษณะหรือพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจสามารถเข้าใจลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น สามารถคาดเดาพฤติกรรม วิถีชีวิต และการใช้จ่ายเงิน เพื่อนำมาปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้ตรงใจได้


การวิเคราะห์ Segmentation ใช้โมเดลอะไร

RFM Model คือ การทำ Customer Segmentation หรือการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการซื้อที่แตกต่างกัน โดยนำข้อมูลหลัก 3 อย่าง มาวิเคราะห์ ซึ่งประกอบไปด้วย Recency Frequency และ Monetary และให้ Score เพื่อจัดอันดับความสำคัญของกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ


Copyright © 2025 Proclinic Group Co., Ltd. All rights reserved.  

Published on : May 08, 2025

ProClinic โปรแกรมคลินิก…ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด

ทีมงานมีประสบการณ์ดูแลคลินิกมากกว่า 200 สาขา ทำให้เราเข้าใจธุรกิจและความต้องการของเจ้าของธุรกิจอย่างลึกซึ้ง ทำให้เราสามารถออกแบบและสร้างโปรแกรมคลินิกที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้จริง

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใบนัดแพทย์ออนไลน์ ตอบโจทย์ความสะดวกสบายให้คลินิกความงาม

ใบนัดแพทย์ออนไลน์ ตอบโจทย์ความสะดวกสบายให้คลินิกความงาม

29 กันยายน 2568 147เข้าชม

สร้างการเข้าถึงง่ายให้คลินิกความงามของคุณมากขึ้น ด้วยใบนัดแพทย์ออนไลน์ ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย นัดหมายรวดเร็วขึ้น มาดูกันว่าใบนัดแพทย์ แบบฟอร์มหน้าตาเป็นอย่างไร

Excel แบบฟอร์ม Stock Card ยาคืออะไร สำคัญในการสต็อกยาอย่างไร

Excel แบบฟอร์ม Stock Card ยาคืออะไร สำคัญในการสต็อกยาอย่างไร

29 กันยายน 2568 118เข้าชม

การสต็อกยาเป็นสิ่งที่คลินิกความงามหรือโรงพยาบาลให้ความสำคัญ จึงมีการนำ Excel แบบฟอร์ม stock card ยา มาจัดการให้เป็นระบบ มาดูหน้าตาของ template Excel คลินิกกัน

CDP สำหรับคลินิกความงาม เข้าใจลูกค้าได้ ก็เพิ่มยอดขายแม่นยำ

CDP สำหรับคลินิกความงาม เข้าใจลูกค้าได้ ก็เพิ่มยอดขายแม่นยำ

7 กรกฎาคม 2568 274เข้าชม

CDP สำหรับคลินิกความงาม จะทำให้เข้าใจลูกค้าได้ลึกขึ้น ต่อยอดพัฒนาแผนการตลาด เพิ่มยอดขายให้ปังได้อย่างแม่นยำ มาดูกันว่า CDP คืออะไร และนำไปใช้งานได้อย่างไรบ้าง

ติดต่อเรา

โปรแกรมคลินิก…ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด