ในยุคที่ธุรกิจคลินิกเติบโต และมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะคลินิกความงาม ที่ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไปจนถึงการขยายฐานสาขาเพื่อรองรับการบริการจากลูกค้าในทุกพื้นที่ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และการดูแลตัวเองมากขึ้น สำหรับทุกเพศ ทุกวัย ทำให้บริการเสริมความงาม เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ และทรีตเมนต์ต่าง ๆ ได้รับความนิยมสูงขึ้น นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจความงาม
แต่คำถามคือ แฟรนไชส์คลินิกความงามดีไหม ? หรือยังน่าลงทันอยู่ไหม ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขนาดนี้ เราควรบริหารจัดการอย่างไรดี หลายคนอาจลังเลระหว่างการสร้างแบรนด์คลินิกเอง กับการเลือกลงทุนในแฟรนไชส์คลินิก ซึ่งมีโมเดลธุรกิจที่ช่วยลดความเสี่ยง ด้วยการสนับสนุนด้านแบรนด์ มาตรฐานบริการ และระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การเปิดแฟรนไชส์ก็ยังมีข้อดี-ข้อเสียที่ต้องพิจารณา รวมถึงคำถามสำคัญอย่าง เปิดคลินิกความงาม ลงทุนเท่าไหร่ ? และแฟรนไชส์อะไรดี ?
เราจะมาดูกันต่อว่า ในปี 2025 แนวโน้มการลงทุนในแฟรนไชส์คลินิกยังคงมีศักยภาพ แต่ความท้าทายก็เพิ่มขึ้นนี้ การบริหารจัดการคลินิกหลายสาขาควรใช้อะไรเข้ามาเป็นตัวช่วยให้เราสามารถบริหารคลินิกของเราได้อย่างมืออาชีพมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มโอกาสความสำเร็จ และเติบโตอย่างยั่งยืนได้ด้วย
อุตสาหกรรมคลินิกความงามเติบโตอย่างไร ?
ในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น ธุรกิจคลินิกความงาม จึงกลายมาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความงามด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ หรือทรีตเมนต์บำรุงผิวพรรณ การแข่งขันในตลาดนี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังคงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักลงทุน และผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างแบรนด์ หรือขยายธุรกิจความงาม มาดูคำตอบกันว่าอะไรที่ทำให้ อุตสาหกรรมคลินิกความงามเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจนี้ยังคงอยู่ได้บนสนามกันแข่งขันที่ดุเดือดในปี 2025
แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมคลินิกความงาม
- พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เนื่องจากคนทุกวัยให้ความสำคัญกับความงามมากขึ้น ไม่ใช่แค่กลุ่มวัยรุ่นหรือวัยทำงาน แต่รวมถึงผู้สูงอายุที่ต้องการดูอ่อนวัย ความนิยมของคลินิกความงาม จึงเกิดการบริการที่เข้าถึงได้ง่ายผ่านคลินิก
- เทคโนโลยีเสริมความงามที่ล้ำหน้า และพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เช่น Ultherapy, HIFU, เลเซอร์รักษาผิว หรือเกิดการบริการใหม่ ๆ อย่าง Genius RF Microneedling หรือ Exosome Therapy กำลังเป็นที่นิยมในปี 2025
- โซเชียลมีเดีย และอิทธิพลของ KOLs ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาด การดึงอินฟลูเอนเซอร์ และคนดังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคของทุกแพลตฟอร์มอย่าง ที่เป็นช่องทางหลักในการโฆษณา และรีวิวบริการ
- การเติบโตของตลาดแฟรนไชส์คลินิกความงาม โมเดลแฟรนไชส์คลินิกความงาม ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายขึ้น ด้วยการสนับสนุนด้านแบรนด์ ระบบบริหาร และมาตรฐานทางการแพทย์ การเปิดคลินิกความงามภายใต้แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าได้
- การแพทย์เชิงป้องกันและการดูแลสุขภาพองค์รวม แนวคิด Wellness & Aesthetic กำลังมาแรง ทำให้คลินิกความงามบางแห่งขยายบริการสู่การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เช่น เวชศาสตร์ชะลอวัย เป็นต้น
เปิดคลินิกความงาม ลงทุนเท่าไหร่ ?
การเปิดคลินิกความงาม เป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง แต่ก็มาพร้อมกับต้นทุนและความท้าทายที่ต้องอาศัยการวางแผนงบอย่างรอบคอบ ค่าใช้จ่ายในการลงทุนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของคลินิก ทำเลที่ตั้ง อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เรามาดูกันว่าค่าใช้จ่ายหลักสำหรับการเปิดคลินิกใหม่ขนาดเล็กกันว่า ในเบื้องต้น มีค่าอะไรเท่าไหร่บ้าง
1. Fix cost หรือต้นทุนคงที่ ได้แก่
- ค่าตกแต่งคลินิก เพื่อภาพลักษณ์ที่ดี สร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์คลินิกเรา ให้ดูน่าเชื่อถือ และทันสมัย โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาท
- ค่าเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ความงาม ซึ่งแบ่งออกเป็น
เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ความงามมือหนึ่ง เช่น
- เครื่องกำจัดขนถาวร (Diode Laser) ราคาประมาณ 500,000 – 1,500,000 บาท
- เครื่องเลเซอร์รักษาเม็ดสี (PicoSure) ราคาประมาณ 2,000,000 – 4,000,000 บาท
- เครื่องยกกระชับผิวหน้า (HIFU) ราคาประมาณ 300,000 – 800,000 บาท
- เครื่องรักษาหลุมสิว (Fractional RF) ราคาประมาณ 500,000 – 1,200,000 บาท
- เครื่องกำจัดไขมัน CoolSculpting ราคาประมาณ 1,000,000 – 2,000,000 บาท
เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ความงาม มือสอง โดยจะประหยัดราคากว่ามือหนึ่งประมาณ 40–80% เช่น
- เครื่องเลเซอร์กำจัดขน ราคาประมาณ 200,000 – 600,000 บาท
- เครื่องเลเซอร์รักษาเม็ดสี ราคาประมาณ 800,000 – 2,000,000 บาท
- เครื่องยกกระชับผิวหน้า (HIFU) ราคาประมาณ 150,000 – 400,000 บาท
- เครื่องรักษาหลุมสิว (Fractional RF) ราคาประมาณ 300,000 – 800,000 บาท
2. Montyly cost หรือต้นทุนรายเดือน ได้แก่
- ค่าเช่าสถานที่ หากเป็นทำเลที่ตั้งดี เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือย่านธุรกิจก็อาจมีค่าเช่าที่สูง โดยเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 1-5 ล้านบาท/เดือน
- ค่าจ้างแพทย์และพนักงาน จะเริ่มต้นอยู่ที่ราว ๆ 15,000-30,000 บาท/เดือน โดยสำหรับคลินิกที่เปิดใหม่อาจมีการจ้างพนักงาน 2-3 คน ส่วนค่าตัวแพทย์นั้นเริ่มต้นที่อยู่ที่ประมาณ 60,000 – 80,000 บาท อาจขึ้นอยู่กับชื่อเสียงและความชำนาญด้วย
- ค่าใบอนุญาตและกฎหมาย โดยมีค่าธรรมเนียม 1,250 บาท สำหรับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล
- ค่าโฆษณาและการตลาด อาจอยู่ในช่วง 20,000 - 100,000 ล้านบาท/ปี สำหรับทำโฆษณาผ่าน Facebook, Instagram, TikTok และค่ารีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์
นอกจากนี้ยังมีทุนหมุนเวียน สำหรับสำรองค่าใช้จ่ายในช่วงแรก หรือการบริหารจัดการอื่น ๆ อยู่ที่ประมาณ 500,000 - 2 ล้านบาท
สร้างแบรนด์ VS แฟรนไชน์คลินิกความงาม แบบไหนดีกว่า ?
การลงทุนในแฟรนไชส์คลินิกความงามนั้นถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ แต่ก็ควรพิจารณาข้อดี และข้อเสียอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ มาดูกันว่าอะไรที่เราควรพิจารณาบ้าง
ข้อดีของแฟรนไชส์คลินิกความงาม
- ระบบธุรกิจที่เป็นมาตรฐาน แฟรนไชส์มักมาพร้อมกับระบบการดำเนินงานที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว และมีการสนับสนุนจากเจ้าของแฟรนไชส์ ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ และมีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน
- การสนับสนุนและการฝึกอบรมเกี่ยวกับการดำเนินงาน การบริหารจัดการคลินิก และการตลาด ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเปิดธุรกิจได้ง่ายขึ้น มีแนวทางที่ชัดเจนอยู่แล้ว
- การรับรู้แบรนด์ เพราะแฟรนไชส์ที่มีชื่อเสียง จะช่วยให้ธุรกิจได้รับการยอมรับจากลูกค้าได้เร็วขึ้น และมีฐานลูกค้าเดิมจากการที่แบรนด์มีการโฆษณา และการตลาดที่ครอบคลุม
- การเข้าถึงผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งช่วยให้คลินิกสามารถให้บริการที่มีคุณภาพสูงได้
ข้อเสียของแฟรนไชส์คลินิกความงาม
- ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเริ่มต้นสูง ทั้งในเรื่องของค่าแฟรนไชส์ ค่าการตั้งคลินิก และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น การฝึกอบรม และค่าการตลาด
- ข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ แม้ว่าแฟรนไชส์จะให้การสนับสนุน แต่อาจจะมีข้อจำกัดในการบริหารจัดการ เพราะต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน และนโยบายของแฟรนไชส์
- ส่วนแบ่งรายได้ โดยผู้ลงทุนในแฟรนไชส์อาจจะต้องแบ่งรายได้กับเจ้าของแฟรนไชส์ตามข้อตกลง หรือสัญญาที่ทำร่วมกัน ซึ่งอาจทำให้มีกำไรน้อยกว่าการสร้างแบรนด์คลินิกเอง
- ความเสี่ยงจากการแข่งขัน หากเลือกแฟรนไชส์ที่มีการแข่งขันสูงในตลาด คุณอาจพบกับความยากลำบากในการดึงดูดลูกค้าใหม่ และทำกำไร
ข้อดีของการสร้างแบรนด์คลินิกความงาม
- มีอิสระในการบริหารและกำหนดทิศทางธุรกิจ โดยสามารถออกแบบบริการ ผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์การตลาดได้เอง สามารถปรับเปลี่ยนแนวทางธุรกิจได้ตามเทรนด์ที่หลากหลายมากกว่า และความต้องการของลูกค้า สร้างเอกลักษณ์ และความแตกต่างจากคู่แข่ง
- มีโอกาสสร้างแบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์ ดึงดูดกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง สื่อสารจุดเด่นของคลินิกได้เต็มที่ รวมทั้งควบคุมคุณภาพบริการและผลิตภัณฑ์ได้เอง
- สามารถเลือกอุปกรณ์ เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า สามารถควบคุมมาตรฐานการให้บริการและสร้างความไว้วางใจได้ง่ายกว่า มีโอกาสสร้างกำไรได้มากกว่าในระยะยาว
- ไม่ต้องแบ่งรายได้หรือจ่ายค่าธรรมเนียมให้เจ้าของแฟรนไชส์ หากแบรนด์เติบโตได้ดี เราสามารถขยายสาขาหรือสร้างแฟรนไชส์ของตัวเองได้
- มีความยืดหยุ่นในการลงทุน สามารถเลือกขนาดการลงทุนได้ตามงบประมาณ ปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจได้ เช่น ขยายบริการหรือเพิ่มผลิตภัณฑ์เสริม
ข้อเสียของการสร้างแบรนด์คลินิกความงาม
- ใช้เวลาและต้นทุนในการสร้างแบรนด์ เพราะการเริ่มต้นใหม่ ต้องลงทุนทั้งเงิน เวลา และความพยายามในการสร้างการรับรู้แบรนด์ ซึ่งทำให้ต้องใช้งบจำนวนมากในการทำตลาด และโปรโมท ซึ่งต้องอาศัยการเรียนรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ
- การบริหารคลินิกต้องมีความรู้ด้านการแพทย์ การตลาด และการจัดการทีมงาน หากไม่มีประสบการณ์ อาจต้องจ้างที่ปรึกษาหรือเรียนรู้เพิ่มเติม
- การสร้างฐานลูกค้าต้องใช้เวลา ทั้งในส่วนของการทำให้ลูกค้ารู้จัก และเชื่อมั่นในแบรนด์ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี หรืออาจต้องใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการขายที่มากขึ้นเพื่อดึงลูกค้าในช่วงแรก
- ความเสี่ยงทางธุรกิจสูงกว่าแฟรนไชส์ เนื่องจากไม่มีระบบสนับสนุนเหมือนการซื้อแฟรนไชส์ เช่น คู่มือการบริหาร หรือเครือข่ายลูกค้า
- ต้องรับผิดชอบทุกด้านด้วยตัวเอง ทั้งการเลือกทำเล การตลาด การฝึกอบรมพนักงาน และการขอใบอนุญาต ซึ่งในช่วงแรกหรือระยะยาวอาจมีภาระงานหนักกว่าการซื้อแฟรนไชส์ที่มีระบบรองรับอยู่แล้ว
แฟรนไชส์คลินิก 2025 น่าลงทุนอยู่ไหม ?
สำหรับการเลือกว่าจะลงทุนธุรกิจคลินิกความงามระหว่างแฟรนไชส์ หรือสร้างแบรนด์ใหม่ ก็อาจต้องพิจารณาข้อดีและข้อเสีย ที่เหมาะกับประสบการณ์ ความต้องการ รวมไปถึงเป้าหมายของการลงทุนทำธุรกิจด้านนี้ ซึ่งการลงทุนในแฟรนไชส์คลินิกความงามในปี 2025 ยังถือว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในยุคที่ความสนใจในเรื่องความงามและการดูแลตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย มาดูกันว่า นอกจากนี้มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่ทำให้แฟรนไชส์คลินิกยังคงน่าสนใจอยู่
- ความต้องการบริการความงามยังคงเพิ่มขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมความงามเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2025 ที่คนยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองรอบด้านอยู่แล้ว ทั้งการทำทรีทเมนต์ผิวหน้า การศัลยกรรมหรือหัตถการเล็กน้อย เช่น การปรับรูปหน้า ยกกระชับผิว การลงทุนในแฟรนไชส์คลินิกจึงมีโอกาสที่จะได้กำไรจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้
- การสนับสนุนจากระบบแฟรนไชส์ การเลือกลงทุนในแฟรนไชส์คลินิกจะช่วยให้ผู้ลงทุนไม่ต้องเริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์ เนื่องจากระบบแฟรนไชส์มีการสนับสนุนทั้งในด้านการฝึกอบรม การตลาด และการบริหารจัดการ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
- เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เนื่องจากในปี 2025 เทคโนโลยีในด้านการดูแลความงามกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น เครื่องมือที่ใช้ในการทำทรีทเมนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือการใช้งาน AI ในการวิเคราะห์สภาพผิว การลงทุนในแฟรนไชส์ที่มีการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ จะช่วยให้คลินิกสามารถให้บริการที่มีคุณภาพและทันสมัยมากขึ้น
- การเติบโตในกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ไม่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ให้ความสนใจกับบริการความงาม แต่ผู้ชาย และคนรุ่นใหม่เริ่มสนใจ และเข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น ทำให้ตลาดผู้บริโภคขยายตัวขึ้น ดังนั้นแฟรนไชส์คลินิกที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายจะมีโอกาสในการเติบโตสูง
- ความเสี่ยงที่ควรระวัง เช่น ความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่เลือกลงทุน อัตราการแข่งขันในตลาด และการรักษาคุณภาพของบริการอย่างสม่ำเสมอ
บริหารแฟรนไชส์คลินิกง่ายขึ้นด้วย ProClinic
การบริหารจัดการแฟรนไชส์คลินิกความงามในปัจจุบันอาจจะพบความท้าทายหลายอย่าง เนื่องจากต้องดูแลหลายด้านทั้งการให้บริการลูกค้า การบริหารสต็อกสินค้า และการฝึกอบรมพนักงาน แต่ด้วยการโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ การบริการคลินิกที่ครอบคลุม โดยเฉพาะโปรแกรมบริหารคลินิกที่เชี่ยวชาญด้านคลินิกความงาม ProClinic จะช่วยให้การดูแลคลินิกความงามหลายสาขา หรือการจัดการแฟรนไชส์ก็ง่ายขึ้น ด้วยฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ ไม่ว่าจะเป็น
- การจัดการข้อมูลลูกค้า โดยสามารถเก็บข้อมูลทางการแพทย์ ประวัติการรักษา โดยเฉพาะข้อมูลผลเปรียบเทียบก่อนและหลังการรักษา รวมทั้งระบบการนัดหมายต่าง ๆ ทำให้เจ้าของแฟรนไชส์ เจ้าหน้าที่ และแพทย์ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาค้นหา ลดต้นทุนงบประมาณด้านการจัดซื้ออุปกรณ์สำนักงาน เช่น กระดาษ เครื่องพิมพ์ และหมึกพิมพ์ได้ด้วย
- การติดตามผลการดำเนินงานของคลินิก ทั้งรายได้ การรักษา และความพึงพอใจของลูกค้า ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจได้ตามความเหมาะสม
- การจัดการสต็อกและวัสดุอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ช่วยการติดตามสต็อกสินค้า วัสดุและอุปกรณ์ รวมทั้งยาอย่างมีระบบ ลดความยุ่งยากในการสั่งซื้อ หรือการขาดแคลนวัสดุ และสถิติของสต็อกสินค้า
- ระบบนัดหมายอัตโนมัติ ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำการนัดหมายออนไลน์ได้สะดวกและรวดเร็ว และยังสามารถแจ้งเตือนให้อัตโนมัติ ลดภาระการโทรนัดหมายของพนักงาน
- การรายงานผลการดำเนินงานในแบบเรียลไทม์ ทั้งรายงานการเงิน รายได้จากการให้บริการ สถิติยอดขายของแพทย์แต่ละคนทำให้มีข้อมูลนำไปวิเคราะห์ได้ง่าย รวมทั้งปรับแผลกลยุทธ์ทางการตลาดจากแนวโน้มการซื้อของลูกค้า รวมทั้งการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่
อุตสาหกรรมคลินิกความงามยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2025 โดยโอกาสสำหรับการลงทุนในรูปแบบของแฟรนไชส์ ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจคลินิกความงาม โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ หรือต้องวางแผนการตลาดตั้งแต่เริ่มต้น เนื่องจากระบบแฟรนไชส์มาพร้อมกับความน่าเชื่อถือ และฐานลูกค้าที่แข็งแรงอยู่แล้ว จึงช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ ด้วยการเข้าถึงแบรนด์ที่มีชื่อเสียง และแนวทางการบริหารที่ได้เติบโตมาแล้ว นอกจากนี้ หากเลือกใช้ระบบการบริหารคลินิกที่ทันสมัย และตอบโจทย์คลินิกยุคดิจิทัลได้อย่างเหมาะสมก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จกับแฟรนไชส์คลินิกความงามได้อีกด้วย
คำถามที่พบบ่อย
เปิดคลินิกความงาม ลงทุนเท่าไหร่
คลินิกขนาดเล็ก (เริ่มต้นธุรกิจ) ประมาณ 1-2 ล้านบาท คลินิกขนาดกลาง (ระดับมาตรฐาน) ประมาณ 5 - 10 ล้านบาทและคลินิกขนาดใหญ่ (ระดับพรีเมียม/แฟรนไชส์) ประมาณ 10 - 30 ล้านบาทขึ้นไป
แฟรนไชส์คลินิกความงามดีไหม
มีข้อดีตรงที่ใช้แบรนด์ที่มีชื่อเสียง ระบบบริหารจัดการพร้อม แต่มีข้อจำกัดในการบริหาร และต้องแบ่งรายได้ตามเงื่อนไขแฟรนไชส์ เหมาะกับคนที่ต้องการลงทุนแต่ไม่มีประสบการณ์สร้างแบรนด์เอง
ระบบ ProClinic เหมาะสำหรับคนอยากเปิดคลินิก หรือสนใจลงทุนด้านนี้ อย่างไรบ้าง
- จัดการนัดหมายและเวชระเบียนแบบ Peperless ช่วยลดความผิดพลาด เพิ่มประสิทธิภาพให้คลินิก
- บริหารสต๊อกยาและอุปกรณ์ ช่วยควบคุมต้นทุนและเช็คสินค้าได้แบบเรียลไทม์
- ระบบ CRM ดูแลลูกค้า อัปเดตโปรโมชัน แจ้งเตือนนัดหมาย ติดตามผลได้ง่าย และสื่อสารกับลูกค้าได้สะดวกขึ้นผ่าน LINE Official
- รองรับการบริหารคลินิกหลายสาขา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขยายธุรกิจแบบแฟรนไชส์
- การเก้บข้อมูล และระบบการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า เพื่อวางแผลทางการตลาด รักษาลูกค้าเดิม เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
ฟังก์ชันอื่น ๆ ของ ProClinic ที่สนับสนุนการเปิดคลินิกมีอะไรอีกบ้าง
- ระบบบริหารทีมแพทย์และพนักงาน (Staff & Doctor Management) เช่น การจัดตารางเวรแพทย์และพนักงานอัตโนมัติ คำนวณค่าตอบแทน และค่าคอมมิชชัน รวมทั้งบันทึกชั่วโมงทำงานและประเมินผลงาน
- ระบบชำระเงินที่สะดวก ราคาคอร์สต่าง ๆ การจ่ายมัดจำ คูปอง และส่วนลด
- Loyalty Program ที่ดูแลและรักษาลูกค้า ด้วยการแบ่งระดับสมาชิก ระบบสะสมแต้ม เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าคนสำคัญได้
- Customer Insight ระบบวิเคราะห์ พฤติกรรมการใช้บริการในด้านของความถี่ และกำลังซื้อในแต่ละครั้ง เพื่อนำมาปรับแผนการตลาด