ปัญหาโลกแตกที่หลายคลินิกความงามต้องเจอ นั่นก็คือ ปัญหาของการจัดเก็บใบ OPD Card ยิ่งคลินิกของเรามีลูกค้าเยอะ ใบ OPD Card ก็จะเยอะตามไปด้วย และจะหายากขึ้นเมื่อเราจัดเก็บในรูปแบบกระดาษหรือเอกสาร ที่บางทีก็ล้นตู้ เราจะมาดูกันว่าจริง ๆ แล้วใบ OPD Card คืออะไร และทำไมต้องเก็บ OPD Card ในรูปแบบออนไลน์ แบบฟอร์ม OPD Card คลินิกหน้าตาเป็นยังไง และจัดเก็บยังไงให้ยกระดับคลินิกคุณเป็นมืออาชีพได้
ทำไม OPD Card ต้องทำตามข้อกำหนดของ สบส.

หากลองศึกษาหน้าที่ของ OPD Card Thailand ตามมาตรฐานของ สบส. จะพบว่ามีสำคัญมากสำหรับคลินิกเพราะเป็นข้อมูลหลักฐานทางการแพทย์ที่บันทึกประวัติการรักษาหรือรายการการทำหัตถการที่เราให้บริการลูกค้าไปในแต่ละครั้ง ซึ่งรวมถึงประวัติการเจ็บป่วยอื่น ๆ ผลตรวจร่างกาย การวินิจฉัย การสั่งจ่ายยา และการวางแผนรักษาในอนาคต ที่ไม่ได้สำคัญเฉพาะกับแพทย์ แต่ยังสำคัญต่อลูกค้า เจ้าหน้าที่ และระบบคลินิกทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีในส่วนของสถิติข้อมูลรายการให้บริการที่ยอดฮิตเพื่อต่อยอดหรือปรับแผนการตลาดโดยเฉพาะสำหรับคลินิกความงาม ซึ่งหากข้อมูลไม่ครบหรือสูญหาย จะกระทบตั้งแต่การรักษา การให้บริการเสริม การตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐ ไปจนถึงการค้นประวัติเคสย้อนหลังในกรณีที่มีการร้องเรียน สบส. ที่กำหนดอย่างชัดเจนว่า แบบฟอร์มหนึ่งชุดของใบ OPD Card ต้องสามารถยืนยันการรักษาและเหตุผลในการตัดสินใจของแพทย์ได้อย่างครบถ้วน เมื่อคลินิกมีแบบฟอร์ม OPD Card คลินิกที่ดี ก็ควรมีระบบจัดเก็บที่ได้มาตรฐานตามมา เพื่อให้แพทย์และเจ้าหน้าที่ทำงานง่ายขึ้น ลดความผิดพลาด และยกระดับการทำงานให้คลินิกมีความเป็นมืออาชีพ มีสไตล์การทำงานที่ไม่ตกเทรนด์ ส่งผลต่อภาพลักษณ์และความไว้วางใจของลูกค้าได้อีกทางด้วย
ใบ OPD Card ต้องมีข้อมูลอะไร ถึงจะเรียกว่าครบ
หลายคลินิกคงมีตัวอย่าง OPD Card ใช้งานกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว แต่มาลองรีเช็กกันอีกครั้งว่ายังขาดข้อมูลที่ควรบันทึกตามหลักเวชระเบียนข้อไหนไปหรือไม่ เพราะในแบบฟอร์มที่ดีไม่ว่าจะเป็นแบบฟอร์ม OPD Card คลินิกฟรี หรือแบบฟอร์มที่ทางคลินิกออกแบบเองเพื่อให้เข้ากับธีม สิ่งที่ต้องมีให้ครบคือข้อมูลระบุตัวตนคนไข้ เช่น ชื่อ–นามสกุล อายุ เพศ วันที่เข้ารับการรักษา ที่สำคัญมากสำหรับป้องกันการสลับแฟ้มหรือสลับข้อมูลในระบบได้ นอกจากนี้ในส่วนที่แพทย์ต้องบันทึก เช่น อาการสำคัญ ข้อมูลการแพ้ยา การตรวจร่างกาย การวินิจฉัย และหัตถการที่รับบริการ ก็ต้องชัดเจน อ่านง่าย และมีการบันทึกต่อเนื่อง ไม่ขาด ตามคอร์สที่ลูกค้าซื้อ เพราะเป็นข้อมูลในการยืนยันว่าคนไข้ได้รับบริการครบถ้วน แพทย์รักษาตามมาตรฐาน และติดตามผลลัพธ์ได้ สิ่งที่เราควรรู้อีกอย่างคือ ในทางกฎหมายแล้วสิ่งที่ไม่ถูกบันทึกลงใน OPD Card คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้เราต้องห้ามละเลยบันทึกข้อมูลให้ครบถ้วนทั้งหมด และที่ไม่ควรลืมคือการลงชื่อแพทย์ผู้รักษา เพื่อเป็นการรับรองความถูกต้องของข้อมูล รวมถึงวันที่และเวลาที่บันทึก ซึ่งจำเป็นต่อการตรวจสอบกรณีภายหลัง หรือการตรวจจาก สบส. เองก็ตาม

ภาพตัวอย่าง OPD Card ผู้ป่วยนอก
PDPA และ OPD Card รักษาความลับข้อมูลผู้ป่วยให้ปลอดภัย

เมื่อกฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้ การจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยในใบ OPD Card ก็ถูกยกระดับให้เป็นข้อมูลส่วนบุคคลประเภทอ่อนไหวโดยอัตโนมัติ ซึ่งหมายความว่าคลินิกต้องจัดเก็บอย่างเป็นระบบ รักษาความลับข้อมูลผู้ป่วยให้ปลอดภัย และเข้าถึงได้เฉพาะผู้มีสิทธิ์เท่านั้น พูดให้เข้าใจง่ายคือ PDPA ไม่ได้เน้นแค่การขอความยินยอม แต่เน้นว่าคลินิก ความงามต้องมีมาตรการปกป้องข้อมูลไม่ว่าจะเป็น OPD Card แบบกระดาษหรือแบบดิจิทัล การวางใบ OPD Card ของลูกค้าไว้บนเคาน์เตอร์แบบเปิดเผย หรือให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องหยิบดูแฟ้ม ถือว่าเข้าข่ายละเมิด PDPA ได้ เช่นเดียวกับการวางเอกสารในตู้ที่ไม่ได้ล็อกหรือวางไว้ในพื้นที่ที่มีคนนอกเข้าถึงได้ง่ายเช่นกัน คลินิกของเราจึงต้องเข้มงวด ตั้งแต่การเก็บรักษา การค้นหา การคัดแยก ไปจนถึงการทำลายเอกสารเมื่อหมดอายุการเก็บรักษา ส่วนในระบบออนไลน์ หลายคลินิกใช้ OPD Card คลินิกพยาบาล หรือโปรแกรมคลินิกที่ได้มาตรฐานเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ใช้งานง่าย เข้าได้เฉพาะคนที่มีสิทธิ์เท่านั้น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลได้
การเปลี่ยนผ่านจาก OPD Card กระดาษสู่ Electronic Health Record (E-HR)

หลายที่กำลังเปลี่ยนระบบการทำงานในรูปแบบ Paperless ที่คุ้มค่าต่อการลงทุนมากกว่า สะดวก และเป็นมืออาชีพในการบริหารมากกว่า โดยเฉพาะการจัดเก็บเอกสารเข้าสู่ระบบออนไลน์แทนเก็บเป็นกระดาษก้าวสู่ยุคลดกระดาษในระบบสาธารณสุข โดยการเปลี่ยนจาก OPD Card กระดาษ ไปเป็น Electronic Health Record (E-HR) ช่วยลดปัญหาต่าง ๆ เช่น แฟ้มหาย ลายมืออ่านยาก หรือหาข้อมูลไม่เจอในช่วงเร่งด่วน การใช้ระบบบันทึกออนไลน์ทำให้แพทย์เห็นข้อมูลย้อนหลังได้เร็วขึ้น เก็บไฟล์ภาพ วิดีโอ หรือผลตรวจได้ในที่เดียว และยังส่งต่อข้อมูลระหว่างสาขาหรือทีมแพทย์ได้ง่ายกว่า

การจัดเก็บแบบดิจิทัลยังช่วยตอบโจทย์ PDPA ได้ดีกว่า เพราะสามารถตั้งสิทธิ์ผู้ใช้งานว่าใครเข้าถึงข้อมูลคนไข้คนไหนได้บ้าง และเข้าถึงได้แค่ไหน ข้อมูลไหนใครเปิดอ่านได้ ข้อมูลไหนใครแก้ไขได้บ้าง นอกจากนี้ยังช่วยให้การตรวจสอบจาก สบส. ง่ายขึ้น เพราะระบบสามารถแสดงประวัติการแก้ไข เวลาเข้าใช้งาน และช่วยจัดทำรายงานต่าง ๆ ของคลินิกได้ทันที ไม่ต้องค้นกระดาษทีละแฟ้มเหมือนเดิม หลายคลินิกที่เริ่มต้นด้วยการทำ แบบฟอร์ม OPD Card word หรือแบบฟอร์ม OPD Card คลินิกฟรี มักพบว่าการจัดการแบบกระดาษใช้เวลามากกว่าที่คิด ยิ่งลูกค้ามากขึ้น ต้องใช้มากกว่าในการค้นหาแฟ้ม ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ระบบ E-HR กลายเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว ทั้งในด้านเวลา ค่าใช้จ่าย และการบริหารงานของคลินิกความงามอีกด้วย
ProClinic จัดการใบ OPD Card ได้แบบมืออาชีพทำกัน

สำหรับเจ้าของคลินิกที่กำลังมองหาระบบโปรแกรมคลินิกที่ช่วยจัดการ OPD Card แบบครบวงจร ทั้งการบันทึก การค้นหา การจัดเก็บ และปกป้องข้อมูลลูกค้าได้ ProClinic คือคำตอบที่คลินิกจำนวนมากเลือกใช้ เพราะถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริง ทั้งหาแฟ้มไม่เจอ กรอกข้อมูลไม่ครบ อ่านไม่ออก กระดาษจัดเก็บไม่ดี หมึกละลาย หรือใช้เวลาหาแต่ละแผ่นนานเพราะลูกค้าเยอะ ProClinic ทำให้ ใบ OPD Card กลายเป็นข้อมูลที่เข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ ค้นหาได้ทันทีด้วยชื่อ เบอร์โทร เลขบัตรประชาชน หรือแม้แต่ด้วยประวัติการรักษา ช่วยให้แพทย์อ่านข้อมูลย้อนเช็กประวัติเดิมได้เร็วขึ้นแบบที่เรียงเป็นไทม์ไลน์มาแล้ว รวมทั้งยังมีระบบ ระบบ Face Chart บันทึกรูปภาพได้ จัดการค่ามือแบบอัตโนมัติ มีประวัติแพ้ยา และไฟล์อื่น ๆ ได้ในที่เดียว เรียกได้ว่าทำให้คุณภาพของทั้งเจ้าของคลินิก แพทย์ พนักงาน และลูกค้าดีขึ้น เมื่อมีระบบโปรแกรมนี้เข้ามาช่วยจัดการ และบริหารคลินิกได้แบบมือโปร ส่วนเรื่อง PDPA ก็มีการจัดการสิทธิ์ผู้ใช้อย่างละเอียด เจ้าหน้าที่แต่ละตำแหน่งเข้าถึงข้อมูลเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น และมีการบันทึกประวัติการแก้ไขทุกข้อมูล ทำให้ตรวจสอบย้อนหลังได้เสมอ ป้องกันการทุจริตได้ ถือเป็นการอัปเกรดจาก OPD Card Thailand แบบดั้งเดิมสู่ระบบคลินิกสมัยใหม่เต็มรูปแบบ
การจัดเก็บ OPD Card อย่างมืออาชีพไม่ใช่แค่เรื่องความเป็นระเบียบของตู้เอกสาร แต่คือหัวใจของการให้บริการได้อย่างมืออาชีพ รักษาความปลอดภัยของข้อมูล และการยกระดับมาตรฐานของคลินิกให้ตรวจสอบได้เสมอ ทั้งตามข้อกำหนดของ สบส. และกฎหมาย PDPA ยิ่งคลินิกมีลูกค้ามากเท่าไร ยิ่งต้องใช้ระบบที่ช่วยบริหารข้อมูลได้ ProClinic คือโปรแกรมคลินิกที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้การจัดการ ใบ OPD Card ให้ง่าย ลดปัญหาแฟ้มหาย ข้อมูลรั่วไหล และเปลี่ยนจากงานเอกสารที่วุ่นวายให้ง่ายแค่ปลายนิ้วคลิก และรองรับการตรวจสอบทุกเมื่อ ช่วยเปลี่ยนผ่านจากกระดาษสู่ e-HR ได้ สามารถลองเริ่มต้นคุยกับ ProClinic ได้ แล้วจะรู้ว่าการจัดการ OPD ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเซ้งคลินิก
OPD Card คืออะไร
OPD Card คือ ใบเวชระเบียนผู้ป่วยนอกที่แพทย์ทำการบันทึกข้อมูลการตรวจรักษา เช่น อาการสำคัญ การตรวจร่างกาย การวินิจฉัย และแผนการรักษา ซึ่งเป็นหลักฐานทางการแพทย์ตามที่ สบส. กำหนดให้คลินิกต้องจัดเก็บอย่างครบถ้วนและตรวจสอบได้เสมอ
หาหมอ OPD ครั้งละกี่บาท
ค่ารักษาผู้ป่วยนอก OPD จะแตกต่างตามประเภทคลินิกและโรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลรัฐมักอยู่ที่ 30–100 บาทตามสิทธิบัตรทอง หรือตามสิทธิประกันสังคม ส่วนคลินิกเอกชนคิดตามอัตราค่าบริการของแต่ละสถานพยาบาลซึ่งโดยเฉลี่ย 300–1,000 บาท แต่ขึ้นอยู่กับแพทย์และการบริการที่ได้รับ
OPD ใช้ได้กี่ครั้ง
ในระบบประกันสุขภาพ เช่น บัตรทองและประกันสังคม การใช้สิทธิ์ OPD สามารถใช้ได้ไม่จำกัดครั้งตามความจำเป็นทางการแพทย์ แต่ต้องไปตามหน่วยบริการประจำ ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน ส่วนคลินิกเอกชนหรือประกันเอกชนขึ้นกับแผนประกันสุขภาพของแต่ละบริษัท
OPD ตรวจอะไรบ้าง
การตรวจ OPD ครอบคลุมการซักประวัติ ตรวจร่างกายเบื้องต้น วินิจฉัยอาการ สั่งยา สั่งตรวจเพิ่มเติมตามความเห็นแพทย์ เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ หรืออัลตราซาวด์ โดยยึดตามแนวทางเวชปฏิบัติทางการแพทย์ของสาขาที่เกี่ยวข้อง
ต้องเก็บ OPD Card กระดาษไว้นานเท่าไหร่ตามกฎหมาย
ตามข้อกำหนดของ สบส. และมาตรฐานเวชระเบียนไทย คลินิกต้องเก็บเวชระเบียนผู้ป่วยไม่น้อยกว่า 5 ปีหลังการรักษาครั้งสุดท้าย ส่วนกรณีเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ต้องเก็บอย่างน้อยจนถึงอายุ 25 ปี เพื่อให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ตามกฎหมายคุ้มครองผู้ป่วย
ถ้าแพทย์ไม่ได้ลงลายเซ็นใน OPD Card จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
มีผลทางกฎหมาย เนื่องจากลายเซ็นหรือรหัสแพทย์ถือเป็นการรับรองข้อมูลเวชระเบียน หากไม่ลงนับว่าเวชระเบียนไม่สมบูรณ์ อาจกระทบต่อการตรวจสอบจาก สบส. การเคลมประกัน และกรณีร้องเรียนทางการแพทย์ ซึ่งอาจทำให้คลินิกหรือแพทย์มีความเสี่ยงทางกฎหมายสูงขึ้น
คลินิกขนาดเล็กสามารถใช้ E-HR ได้คุ้มค่าหรือไม่
คุ้มค่าอย่างมาก เพราะช่วยลดงานเอกสาร ลดความผิดพลาดจากการค้นหาข้อมูล ช่วยจัดเก็บเวชระเบียนอย่างเป็นระบบ และรองรับ PDPA ได้ดีกว่ากระดาษ อีกทั้งค่าใช้จ่ายของระบบ E-HR ปัจจุบันถูกลงมาก จนคลินิกเล็กใช้ได้คุ้มกว่าการพิมพ์และจัดเก็บแฟ้มกระดาษในระยะยาว
Copyright © 2025 Proclinic Group Co., Ltd. All rights reserved.
Published on : December 21, 2025