เปิดคลินิก เสียภาษีอย่างไร วางแผนภาษีอย่างไรได้บ้าง

เปิดคลินิก เสียภาษีอย่างไร วางแผนภาษีอย่างไรได้บ้าง

7 พฤษภาคม 2568 เทคนิคบริหารคลินิก 8เข้าชม

การเปิดคลินิกถือเป็นหนึ่งเป้าหมายของคุณหมอหลายคนที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ได้ดูแลคนไข้ตามแนวทางที่เชื่อมั่น หรือใครก็ตามที่อยากเป็นเจ้าของคลินิก โดยเฉพาะคลินิกความงามที่ค่อนข้างมีการเติบโตทางธุรกิจสูง พร้อมสร้างรายได้อย่างมั่นคงในระยะยาว แต่เมื่อคลินิกไม่ได้เป็นเพียงสถานที่รักษาโรคเท่านั้น ยังนับเป็นกิจการทางธุรกิจอย่างหนึ่ง การวางแผนเรื่องภาษีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะภาษีที่เกี่ยวข้องกับคลินิกมีหลายประเภท และอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ และกำไรของกิจการได้โดยตรง หากขาดการวางแผนที่ดี


เปิดคลินิก เสียภาษีอย่างไร วางแผนภาษีอย่างไรได้บ้าง


ข้อสงสัยต่อมา ก็คือ แล้วการเปิดคลินิก เสียภาษีอย่างไร เสียภาษีแบบไหน จ่ายอย่างไร หรือการเปิดคลินิก ต้องเสียภาษีไหม ล้วนเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนเปิดคลินิก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องภาษีย้อนหลัง ลดความเสี่ยงในการโดนเบี้ยปรับ หรือเสียภาษีเกินความจำเป็น บทความนี้จะพาทุกคนที่อยากเป็นเจ้าของคลินิก มาทำความเข้าใจโครงสร้างของภาษีสำหรับคลินิก รวมถึงแนวทางวางแผนภาษีอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น โปร่งใส และสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ธุรกิจการแพทย์มีการแข่งขันสูง และต้องใช้ต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารภาษีที่ดีจะช่วยให้คลินิกของคุณสามารถเติบโตได้โดยไม่สะดุด

4 เช็กลิสต์วางแผนภาษีสำหรับคุณหมอเจ้าของคลินิก


เปิดคลินิก เสียภาษีอย่างไร วางแผนภาษีอย่างไรได้บ้าง


ชวนมาเช็กสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ สำหรับวางแผนภาษีให้ง่ายขึ้นกัน ว่ามีอะไรบ้าง

1. หลักเกณฑ์ในการพิจารณาสถานพยาบาล



เปิดคลินิก เสียภาษีอย่างไร วางแผนภาษีอย่างไรได้บ้าง



ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า "คลินิก" ที่ดำเนินการอยู่นั้น เข้าเกณฑ์ของ "สถานพยาบาล" หรือไม่ เพราะจะมีผลต่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเป็นสถานพยาบาล ประกอบไปด้วย

  • ต้องจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล
  • ให้บริการรักษาโรค บำบัดโรค หรือส่งเสริมสุขภาพ โดยบุคลากรทางการแพทย์
  • มีลักษณะเป็นธุรกิจให้บริการ ไม่ใช่การขายสินค้าเป็นหลัก

หากตรงตามเกณฑ์ดังกล่าว ธุรกิจของคุณจะถือเป็นสถานพยาบาล และสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีบางประการได้ เช่น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

2. เงินได้ของแพทย์


เปิดคลินิก เสียภาษีอย่างไร วางแผนภาษีอย่างไรได้บ้าง



สำหรับแพทย์ที่เปิดคลินิกเอง รายได้ที่เกิดขึ้นจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  • เงินเดือนและค่าตอบแทนประจำ ตามมาตรา 40(1) ซึ่งจะรวมเงินเดือน เงินจากการขึ้นเวร และค่า OT จากการทำงาน ซึ่งสามารถนำเงินได้ไปหักค่าใช้จ่าย 50% ของรายได้
  • เงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 40(2) เช่น ค่าตรวจรักษา ค่าผ่าตัด หรือค่าบริการทางการแพทย์อื่น ๆ ซึ่งหักค่าใช้จ่ายได้แบบเหมา 60% หรือหักตามจริง
  • เงินได้จากคลินิก ตามมาตรา 40 (6) โดยหักค่าใช้จ่ายได้แบบเหมา 60% หรือหักตามจริงก็ได้
  • เงินได้จากการประกอบธุรกิจ ตามมาตรา 40(8) หากคลินิกจ้างบุคลากร มีระบบการขายสินค้า หรือมีการขยายสาขา อาจเข้าข่ายธุรกิจเต็มรูปแบบ ต้องเสียภาษีแบบกิจการ

สรุปคือ หากคุณเป็นหมอที่เปิดคลินิกเอง รายได้จากการรักษาคนไข้ยังถือเป็นเงินได้ส่วนบุคคล แต่ถ้าคลินิกมีลักษณะเป็นธุรกิจ ก็ต้องเปลี่ยนมาคิดภาษีในรูปแบบกิจการหรือบริษัทนิติบุคคล

3. ประเภทของกิจการ


เปิดคลินิก เสียภาษีอย่างไร วางแผนภาษีอย่างไรได้บ้าง


การเลือกประเภทกิจการจะมีผลต่อการเสียภาษีโดยตรง โดยสามารถเลือกได้ดังนี้

1. บุคคลธรรมดา

  • เหมาะกับหมอที่เริ่มต้นจากการเปิดคลินิกเล็ก ๆ หรือยังมีรายได้ไม่มาก
  • เสียภาษีเงินได้ตามขั้นบันได
  • ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 หรือ 91

2. ห้างหุ้นส่วน/บริษัท

  • เหมาะกับคลินิกขนาดกลางถึงใหญ่ หรือมีหลายสาขา
  • เสียภาษีนิติบุคคล 20% ของกำไรสุทธิ
  • สามารถวางแผนค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ละเอียดขึ้น เช่น ค่าการตลาด เงินเดือน ค่าที่ปรึกษา ฯลง

ดังนั้นการวางแผนภาษีต้องเริ่มตั้งแต่การเลือกรูปแบบกิจการที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคลินิก

4. วิธีวางแผนภาษีสำหรับแพทย์ที่ต้องการเปิดคลินิก


เปิดคลินิก เสียภาษีอย่างไร วางแผนภาษีอย่างไรได้บ้าง


ขั้นตอนที่ 1 พิจารณาเงินได้ และทำรายการทั้งหมดเพื่อวางแผนหักค่าใช้จ่าย และลดหย่อนภาษี โดยเริ่มจากการรวมรายได้ทั้งหมดในปีภาษี เช่น ค่าตรวจ ค่าผ่าตัด รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์สุขภา จากนั้นทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้เห็นโครงสร้างรายได้ และเตรียมวางแผนภาษี ตัวอย่างเช่น

  • เลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา ซึ่งคิดเป็น 60% ของรายได้
  • หรือหักตามจริงโดยเก็บใบเสร็จทุกอย่าง เช่น ค่าเช่าที่ ค่าน้ำไฟ ค่าเวชภัณฑ์ ค่าแรงพนักงาน
  • อย่าลืมใช้สิทธิค่าลดหย่อนต่าง ๆ เช่น ค่าประกันสุขภาพ บริจาค เงินลงทุน RMF/SSF

ขั้นตอนที่ 2 พิจารณาผลประกอบการ และเสียภาษีตามที่ระบุไว้

  • ถ้าเปิดคลินิกในรูปแบบบุคคลธรรมดา จะเสียภาษีแบบขั้นบันได 5-35%
  • ถ้าเปิดในรูปแบบบริษัท จะเสียภาษีนิติบุคคล 20% ของกำไร
  • หากมีการจ่ายเงินเดือนให้หมอหรือพนักงาน ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่นแบบ ภ.ง.ด.1
  • อย่าลืมยื่นแบบ ภ.พ.30 ถ้าคลินิกมีรายได้จากการขายสินค้าที่เข้าข่ายเสีย VAT

ขั้นตอนที่ 3 พิจารณารายการลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไข ซึ่งหมอที่เปิดคลินิกสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้หลากหลาย ซึ่งการใช้สิทธิให้ครบจะช่วยลดภาระภาษีได้มาก ไม่ว่าจะเป็น

  • ลดหย่อนส่วนตัว คู่สมรส บุตร
  • ค่าประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ
  • เงินลงทุนในกองทุน RMF หรือ SSF
  • บริจาคเพื่อการแพทย์หรือสาธารณกุศล

ขั้นตอนการคำนวนการจ่ายภาษี


เปิดคลินิก เสียภาษีอย่างไร วางแผนภาษีอย่างไรได้บ้าง


ขั้นตอนที่ 1 พิจารณาเงินได้ และทำรายการทั้งหมดเพื่อวางแผนหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนภาษี

โดยเริ่มจากการรวบรวมรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรอบปีภาษี เช่น ค่ารักษา ค่ายา รายได้จากบริการพิเศษต่าง ๆ แล้วจดบันทึกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ ไม่ว่าจะเป็น

  • ค่าเช่าสถานที่
  • เงินเดือนพนักงาน
  • ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต
  • ค่าเวชภัณฑ์
  • ค่าการตลาด

ซึ่งหากเป็นบุคคลธรรมดา อาจเลือกใช้หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาหรือหักตามจริงก็ได้ แต่หากเป็นนิติบุคคล จะต้องใช้ค่าใช้จ่ายตามจริงทั้งหมด พร้อมเอกสารประกอบชัดเจน จากนั้นวางแผนเรื่องค่าลดหย่อนต่าง ๆ เช่น

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000 บาท)
  • ประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพ
  • การลงทุนในกองทุน RMF/SSF

ขั้นตอนที่ 2 พิจารณาจากผลประกอบการ และเสียภาษีตามที่ระบุไว้

เมื่อสรุปรายได้และหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะได้รายได้สุทธิ ซึ่งนำมาคำนวณภาษีตามประเภทของกิจการ ซึ่งการเลือกจดทะเบียนแบบใด จะส่งผลต่อยอดภาษี และวิธีการบริหารจัดการรายจ่ายโดยตรง

  • ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา จะใช้อัตราภาษีก้าวหน้า 5–35%
  • ถ้าเป็นนิติบุคคล จะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 20%

ขั้นตอนที่ 3  พิจารณาจากรายการลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไข

โดยหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว ควรตรวจสอบว่ามีรายการลดหย่อนอะไรเพิ่มเติมได้อีกหรือไม่ เพื่อประหยัดภาษี ไม่ว่าจะเป็น

  • เงินบริจาค ซึ่งสามารถหักได้ 2 เท่าในบางกรณี
  • ค่าซื้ออุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับ Digital Health หรือการพัฒนาระบบคลินิก (ตามที่รัฐประกาศ)

สำหรับหมอเปิดคลินิก เสียภาษีอย่างไร เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบแบบเจาะลึก เพราะนอกจากจะเกี่ยวข้องกับรายได้โดยตรงแล้ว ยังต้องเข้าใจระบบภาษีให้ดีเพื่อลดความเสี่ยง และบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจ่ายภาษีสำหรับเจ้าของคลินิกจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ และไม่ควรมองข้ามตั้งแต่แรก เพื่อให้สามารถวางแผน และสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือในรูปแบบบริษัท ทำให้คุณหมอเจ้าของคลินิกเอง ก็สามารถจ่ายภาษีได้อย่างคุ้มค่า พร้อมต่อยอดคลินิกให้เติบโตอย่างมั่นคงได้

คำถามที่พบบ่อย


เปิดคลินิกเป็นเงินได้ประเภทใด

  1. เงินได้ตามมาตรา 40(8) กรณีเปิดคลินิกในชื่อของตนเอง (ธุรกิจส่วนตัว)
  2. เงินได้ตามมาตรา 40(4)(ข) กรณีเป็นหุ้นส่วนในคลินิกที่จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท
  3. เงินได้ตามมาตรา 40(1) กรณีรับเงินเดือนจากคลินิกในฐานะพนักงาน
  4. เงินได้ตามมาตรา 40(2) กรณีรับจ้างทำหัตถการแบบเหมาบริการในคลินิกอื่น ๆ


รายได้เท่าไรต้องเสียภาษี 2568

เกณฑ์การเสียภาษีสำหรับผู้มีรายได้ประจำ ได้แก่

  1. รายได้สุทธิต่อปีไม่เกิน 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี
  2. รายได้สุทธิต่อปีเกิน 150,000 บาท ต้องเสียภาษีตามอัตราที่กำหนด


คลินิกต้องจด VAT ไหม

ขึ้นอยู่กับลักษณะของบริการและรายได้ของคลินิก ดังนี้

1. ไม่ต้องจด VAT 

  • ในกรณีคลินิกให้บริการทางการแพทย์เพื่อรักษาโรค เช่น ตรวจโรค ทำหัตถการ ผ่าตัด ฉีดยา ฯลฯ ซึ่งจะได้รับการยกเว้น VAT ตามมาตรา 81(1)(ฒ) แห่งประมวลรัษฎากร
  • รายได้รวมทั้งปีไม่ถึง 1.8 ล้านบาท โดยไม่ถึงเกณฑ์การเป็นผู้ประกอบการจด VAT ตามกฎหมาย

2. ต้องจด VAT ในกรณีที่ ให้บริการด้านความงามที่ไม่ใช่การรักษาโรค เช่น 

  • ฉีดวิตามินเพื่อความสวย ฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์เพื่อความงาม 
  • เลเซอร์หน้าใส
  • โดย หากรายได้ ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจด VAT ภายใน 30 วัน
  • ขายสินค้าเสริมความงามหรือยา ที่ไม่ได้ใช้เพื่อรักษาโรคโดยตรง โดยนับ เป็นการขายสินค้าที่ต้องเสีย VAT เช่นกัน


เปิดคลินิกต้องจดทะเบียนการค้าไหม

ต้องจดทะเบียนทะเบียนการค้า ในกรณีที่ 

  1. คลินิกมีการขายสินค้า เช่น เวชสำอาง, อาหารเสริม, ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ฯลฯ
  2. ให้บริการเสริมความงาม ที่ไม่ใช่การรักษาโรค เช่น เลเซอร์หน้าใส, โบท็อกซ์เพื่อความสวยงาม

แต่ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนการค้า ในกรณีที่

  1. คลินิกให้บริการทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคเท่านั้น
  2. ดำเนินการในนาม แพทย์ หรือ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยตรง


คลินิก เสียภาษีอะไรบ้าง

  1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีเปิดคลินิกในนามบุคคลธรรมดา
  2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีเปิดคลินิกในนามบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
  3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
  4. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
  5. ภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีมีรายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน


เปิดคลินิกพยาบาล เสียภาษีอย่างไร

  1. จดทะเบียนภาษี 
  2. จัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
  3. ยื่นภาษี 
  4. จ่ายภาษีตามรอบ ถ้ามีการจ้างงาน ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่น ภ.ง.ด.1, 3, 53 ทุกเดือน
  5. กรณีต้องจด VAT ให้ยื่น ภ.พ.30 รายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
  6. เก็บหลักฐานไว้ครบถ้วน เพื่อใช้ในการตรวจสอบหรือหักลดหย่อน