เคล็ด(ไม่)ลับ การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัย

เคล็ด(ไม่)ลับ การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัย

10 มิถุนายน 2568 เทคนิคบริหารคลินิก 57เข้าชม

ในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยีกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบสาธารณสุขอย่างเต็มรูปแบบ ข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยจึงถูกจัดเก็บในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น ตั้งแต่การลงทะเบียนเข้ารับบริการ ไปจนถึงการบันทึกผลวินิจฉัย การรักษา ประวัติการใช้ยา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหวที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะหากเกิดการรั่วไหลหรือถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิทธิความเป็นส่วนตัว และแม้กระทั่งชื่อเสียงของผู้ป่วย ในขณะเดียวกัน คลินิกหรือสถานพยาบาล ที่จัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยโดยไม่รัดกุม อาจเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง เสียค่าปรับจำนวนมาก หรือสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ประชาชนเริ่มตระหนักถึงสิทธิของตนภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น PDPA (ประเทศไทย) HIPAA (สหรัฐอเมริกา) และ GDPR (สหภาพยุโรป) ที่ล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับการจัดการข้อมูลสุขภาพอย่างเข้มงวด

ดังนั้น ไม่ว่าคลินิกจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ การมีระบบจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ปลอดภัย โปร่งใส และสอดคล้องกับกฎหมายจึงกลายเป็นเรื่องจำเป็น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับแนวทางสำคัญที่คลินิกสามารถนำไปใช้เพื่อป้องกันการรั่วไหลของประวัติส่วนตัวผู้ป่วย ที่ครอบคลุมทั้งด้านกฎหมาย เทคโนโลยี และแนวทางปฏิบัติ ให้คุณสามารถยกระดับความปลอดภัยของคลินิกแบบมืออาชีพได้


3 กฎหมายสำคัญ ที่ควรปฏิบัติตาม

การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัย ไม่ใช่แค่เรื่องของจริยธรรมในวิชาชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อบังคับตามกฎหมายที่คลินิกทุกแห่งจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รวมทั้งการส่งต่อ แลกเปลี่ยน หรือจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วยจึงต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส ปลอดภัย และตรวจสอบได้ มารู้จัก 3 กฎหมายสำคัญที่ควรรู้กัน


HIPAA (Health Insurance Portability and Accountability Act) 

เคล็ด(ไม่)ลับ การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัย

คือ กฎหมายของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศใช้ในปี 1996 มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปกป้องข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วย และควบคุมการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลสุขภาพสามารถถูกจัดเก็บหรือส่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ง่าย มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1. การปกป้องข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล

  • ข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ร่วมกับข้อมูลสุขภาพ เช่น ชื่อ หมายเลขประกัน หรือประวัติการรักษา
  • ห้ามเปิดเผยหรือแชร์ข้อมูลเหล่านี้โดยไม่มีการอนุญาตจากเจ้าของข้อมูล

2.สิทธิของผู้ป่วย

  • ผู้ป่วยมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตน
  • ขอแก้ไขข้อมูลหากพบว่าไม่ถูกต้อง
  • รู้ว่าใครบ้างที่เข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตน

3. มาตรการด้านความปลอดภัย 

  • องค์กรที่เกี่ยวข้องต้องมีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลทั้งในรูปแบบเอกสารและดิจิทัล
  • ยกตัวอย่างเช่น การเข้ารหัสข้อมูล การจำกัดสิทธิ์การเข้าถึง หรือการล็อกระบบด้วยรหัสผ่าน

4. การแจ้งเหตุข้อมูลรั่วไหล (Breach Notification Rule) ซึ่งต้องแจ้งผู้ป่วยทันทีที่ข้อมูลรั่วไหล

5. บทลงโทษ ในกรณีที่มีการละเมิด HIPAA จะมีโทษปรับตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักล้านเหรียญสหรัฐ และอาจมีโทษทางอาญา


GDPR (General Data Protection Regulation)

เคล็ด(ไม่)ลับ การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัย

คือ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (EU) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2018 โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนใน EU เพิ่มความโปร่งใสในการจัดเก็บ ใช้งาน ถ่ายโอนข้อมูล และให้สิทธิผู้เป็นเจ้าของข้อมูลควบคุมข้อมูลของตนได้มากขึ้น โดยประกอบไปด้วย

1. สิทธิของเจ้าของข้อมูล ได้แก่

  • สิทธิในการเข้าถึง (Access)
  • สิทธิในการแก้ไข (Rectification)
  • สิทธิในการลบข้อมูล (Erasure/Right to be forgotten)
  • สิทธิในการโอนย้ายข้อมูล (Data portability)
  • สิทธิในการคัดค้านการใช้ข้อมูล (Objection)

2. การให้ความยินยอม (Consent) ต้องได้รับอย่างชัดเจนจากเจ้าของข้อมูลก่อนการเก็บหรือใช้งาน

3. ความโปร่งใส โดยต้องแจ้งวัตถุประสงค์การเก็บข้อมูล วิธีใช้ ระยะเวลา และสิทธิของเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจน

4. ความปลอดภัยของข้อมูลที่องค์กรต้องมีมาตรการป้องกันข้อมูลรั่วไหล เช่น การเข้ารหัส และระบบตรวจสอบสิทธิ์

5. การแจ้งเหตุข้อมูลรั่วไหลต้องแจ้งหน่วยงานกำกับและเจ้าของข้อมูลภายใน 72 ชั่วโมง

6. มีบทลงโทษที่ปรับได้สูงสุดถึง 20 ล้านยูโร หรือ 4% ของรายได้รวมทั้งปีของบริษัท


PDPA (พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562)

เคล็ด(ไม่)ลับ การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัย

คือ กฎหมายของประเทศไทยที่มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน กำหนดมาตรฐานการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูล และเพิ่มความรับผิดชอบให้กับองค์กรที่เก็บหรือประมวลผลข้อมูล โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

  • สิทธิในการขอเข้าถึงข้อมูล
  • สิทธิในการขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล
  • สิทธิในการคัดค้านการประมวลผล
  • สิทธิในการแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง
  • สิทธิในการถอนความยินยอม

2. การให้ความยินยอม

  • ต้องเป็นความยินยอมโดยชัดแจ้ง
  • ต้องแยกจากข้อความอื่น และเข้าใจง่าย

3. ความรับผิดชอบของผู้ควบคุมข้อมูล

  • ต้องแจ้งวัตถุประสงค์ก่อนการเก็บข้อมูล
  • ต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
  • ต้องจัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัว

4. ข้อยกเว้น คือ บางกรณีสามารถเก็บข้อมูลได้โดยไม่ต้องขอความยินยอม เช่น เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือภายใต้กฎหมายอื่น

5. บทลงโทษ 

  • โทษปรับทางแพ่งสูงสุด 5 ล้านบาท
  • โทษอาญา (หากมีเจตนา) จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • โทษทางปกครองปรับสูงสุด 5 ล้านบาท


7 ข้อมูลที่ควรรรู้เพื่อรัักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัย

ฝึกอบรมบุคลากรให้ตระหนักรู้

เคล็ด(ไม่)ลับ การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัย

หนึ่งในจุดอ่อนของการรักษาความปลอดภัยด้านข้อมูล คือ ความรู้และพฤติกรรมของบุคลากร การฝึกอบรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น

  • ความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของข้อมูลส่วนบุคคล และข้อกำหนดตาม PDPA
  • ตัวอย่างการละเมิดความลับ เช่น การพูดคุยเรื่องผู้ป่วยในที่สาธารณะ การส่งข้อมูลทางไลน์แบบไม่มีการเข้ารหัส
  • วิธีตอบสนองเมื่อพบเหตุละเมิดข้อมูล

การอบรมควรทำอย่างสม่ำเสมอและมีการประเมินความเข้าใจ เพื่อให้บุคลากรทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาข้อมูลผู้ป่วย กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และสามารถปฏิบัติงานได้ไม่พลาด


จำกัดการเข้าถึงข้อมูลและยืนยันตัวตนทุกครั้ง

เคล็ด(ไม่)ลับ การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัย

         การเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยควรอยู่ในระดับจำเป็นต้องรู้เท่านั้น บุคลากรแต่ละคนควรเข้าถึงเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของตน เช่น พนักงานต้อนรับอาจเข้าถึงข้อมูลการนัดหมาย แต่ไม่สามารถดูประวัติการวินิจฉัยได้ โดยระบบโปรแกรมคลินิกควรมีการยืนยันตัวตนทุกครั้ง เช่น

  • การเข้าสู่ระบบด้วยรหัสผ่านเฉพาะบุคคล
  • การใช้ 2-Factor Authentication
  • การล็อกอัตโนมัติเมื่อไม่มีการใช้งาน


ควบคุมการใช้ข้อมูล

ข้อมูลผู้ป่วยไม่ควรถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการดูแลรักษา เว้นแต่ได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน เช่น

  • การใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มโรค
  • การใช้ข้อมูลในงานวิจัย
  • การส่งข้อมูลให้บริษัทประกันสุขภาพ


การดำเนินการเหล่านี้ จำเป็นต้องมีเอกสารการยินยอมในการใช้ข้อมูล (Consent Form) ที่เข้าใจง่ายและครอบคลุมขอบเขตการใช้งาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเปิดเผยข้อมูลผู้ป่วย ผิดกฎหมายได้

บันทึกประวัติการเข้าถึง

เคล็ด(ไม่)ลับ การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัย

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ช่วยให้การเก็บรักษาข้อมูลผู้ป่วย และประวัติส่วนตัวผู้ป่วยปลอดภัยมากขึ้น คือการติดตั้งระบบ Audit Trail หรือระบบบันทึกประวัติการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งควรเป็นฟีเจอร์มาตรฐานของระบบโปรแกรมคลินิก ที่ทำหน้าที่เก็บหลักฐาน การเข้าถึงทุกครั้งอย่างละเอียด โดยต้องสามารถระบุได้ว่า

  • ใครเป็นผู้เข้าถึงข้อมูล เช่น ชื่อผู้ใช้หรือรหัสประจำตัวพนักงาน
  • วันและเวลาที่เข้าถึงข้อมูล
  • เข้าถึงข้อมูลใดบ้าง เช่น ประวัติการรักษา ผลตรวจ หรือข้อมูลระบุตัวตน
  • ทำอะไรกับข้อมูล เช่น อ่าน แก้ไข ลบ หรือส่งต่อ

การบันทึกข้อมูลลักษณะนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับการตรวจสอบในระบบและการสอบสวนในกรณีที่มีการร้องเรียนหรือสงสัยว่าเกิดการเปิดเผยข้อมูลผู้ป่วยโดยมิชอบ หรือการละเมิดความลับผู้ป่วยตามกฎหมาย เช่น PDPA และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมความโปร่งใสในการทำงาน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ป่วยว่าคลินิกมีการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ และมีมาตรการควบคุมการเข้าถึงที่ตรวจสอบได้จริง


 เข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption)

การเข้ารหัสข้อมูลจะช่วยป้องกันข้อมูลในกรณีที่ระบบหรืออุปกรณ์ถูกแฮ็ก หรือสูญหาย โดยควรการเข้ารหัสข้อมูล 2 แบบ คือ

  • เข้ารหัสข้อมูลขณะจัดเก็บ 
  • เข้ารหัสข้อมูลขณะส่งผ่านเครือข่าย เช่น การส่งข้อมูลผู้ป่วยทางอีเมลควรใช้ระบบ  Secure Email หรือ HTTPS และการจัดเก็บข้อมูลใน Cloud ต้องเลือกผู้ให้บริการที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง


ประเมินความเสี่ยงให้เป็นประจำ

คลินิกควรมีการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น

  • การตรวจสอบช่องโหว่ของระบบ (Vulnerability Scan)
  • การทดสอบการเจาะระบบ (Penetration Test)
  • การวิเคราะห์ภัยคุกคามจากภายนอกและภายใน

จากนั้น ควรมีแผนปรับปรุงที่เป็นรูปธรรม เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วย


สำรองข้อมูลแบบ Offsite ให้ได้

แม้จะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี แต่ก็ยังมีโอกาสที่ข้อมูลจะสูญหายจากเหตุไม่คาดคิด เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือ            แรนซัมแวร์ ทำให้การสำรองข้อมูลแบบ Offsite เช่น Cloud หรือศูนย์ข้อมูลอื่นที่แยกจากคลินิกจึงจำเป็น เพราะจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจ เนื่องจาก 

  • มีการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ (Daily/Weekly Backup)
  • ข้อมูลสำรองถูกเข้ารหัส
  • สามารถกู้คืนได้อย่างรวดเร็วเมื่อจำเป็น

เคล็ด(ไม่)ลับ การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้ปลอดภัย

การเก็บรักษาข้อมูลผู้ป่วยไม่ใช่เพียงแค่ความรับผิดชอบของแผนกไอที แต่คือความรับผิดชอบร่วมกันของคลินิกทั้งระบบ ตั้งแต่เจ้าของกิจการ แพทย์ พนักงาน ไปจนถึงผู้พัฒนาโปรแกรมที่เกี่ยวข้อง เมื่อคลินิกความงามของคุณปฏิบัติตามแนวทางที่ควรได้ครบถ้วน ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากการละเมิดประวัติส่วนตัวผู้ป่วยหรือการเปิดเผยข้อมูลผู้ป่วยโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และสอดคล้องกับข้อกำหนดของกฎหมาย PDPA อย่างมืออาชีพ การมีตัวช่วยอย่างการใช้โปรแกรมคลินิกที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่เจ้าของคลินิกไม่ควรมองข้าม


คำถามที่พบบ่อย


สิทธิของผู้ป่วยมีอะไรบ้าง

  1. สิทธิในการรับรู้ข้อมูล ซึ่งผู้ป่วยมีสิทธิได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโรค การรักษา และผลข้างเคียงอย่างชัดเจน
  2. สิทธิในการตัดสินใจรักษา เพราะผู้ป่วยสามารถเลือกหรือปฏิเสธการรักษาได้กับร่างกายของตน
  3. สิทธิในความลับ เนื่องจากข้อมูลส่วนตัวทางการแพทย์ของผู้ป่วยต้องได้รับการปกป้อง ไม่เปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาต
  4. สิทธิในการขอข้อมูลเวชระเบียน โดยผู้ป่วยสามารถขอดูหรือคัดลอกข้อมูลจากแฟ้มเวชระเบียนของตนได้
  5. สิทธิในการร้องเรียน หากได้รับบริการที่ไม่เหมาะสมหรือมีการละเมิดสิทธิ ผู้ป่วยสามารถร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้

ข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยคืออะไร?

  1. ชื่อ-นามสกุล
  2. เลขบัตรประชาชนหรือเลขเวชระเบียน
  3. ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล
  4. ประวัติการรักษาและการแพ้ยา
  5. ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือภาพทางการแพทย์ เช่น X-ray หรือ MRI
  6. ข้อมูลประกันสุขภาพหรือสิทธิการรักษา
  7. ข้อมูลสุขภาพจิตหรือภาวะโรคเฉพาะทาง

ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่?

ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะในกลุ่มข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวตามกฎหมาย PDPA

  1. เป็นข้อมูลที่บ่งชี้ถึงสถานะทางสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ
  2. ครอบคลุมประวัติการรักษา ผลตรวจ โรคประจำตัว ฯลฯ
  3. ต้องได้รับการดูแล ปกป้อง และขอความยินยอมก่อนการเก็บ ใช้ หรือเปิดเผย
  4. หากละเมิด อาจมีความผิดตามกฎหมาย PDPA ทั้งทางแพ่งและอาญา

 ใครมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วย?

ตามกฎหมาย PDPA ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยต้องเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรง และมีเหตุผลชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ได้แก่

  1. แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อการวินิจฉัย รักษา และดูแลผู้ป่วย
  2. เจ้าหน้าที่คลินิกหรือโรงพยาบาล ในส่วนที่จำเป็นต่อการให้บริการ เช่น การนัดหมายหรือเวชระเบียน
  3. ผู้ป่วยเจ้าของข้อมูล ที่มีสิทธิ์เข้าถึง ตรวจสอบ และขอสำเนาข้อมูลของตนเอง
  4. ผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจแทน ในกรณีผู้ป่วยเป็นผู้เยาว์หรือไม่สามารถให้ความยินยอมได้เอง
  5. หน่วยงานรัฐหรือกฎหมายที่กำหนด ในกรณีที่มีคำสั่งศาล หรือเพื่อประโยชน์ด้านสาธารณสุข และความปลอดภัยตามที่กฎหมายอนุญาต

หากข้อมูลผู้ป่วยรั่วไหล ใครต้องรับผิด?

หากเกิดกรณีที่ข้อมูลผู้ป่วยรั่วไหล ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งโดยมาก คือ เจ้าของคลินิกหรือผู้บริหารสถานพยาบาลจะต้องเป็น ผู้รับผิดชอบตามกฎหมาย PDPA โดยตรง โดยความรับผิดที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่

  1. ความรับผิดทางแพ่ง โดยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายจากการรั่วไหล
  2. ความรับผิดทางอาญา หากจงใจเปิดเผยข้อมูลโดยมิชอบ อาจถูกจำคุกหรือปรับ
  3. ความรับผิดทางปกครอง ซึ่งอาจถูกคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสั่งปรับสูงสุดถึง 5 ล้านบาท

ผู้ป่วยสามารถขอดูหรือขอลบข้อมูลของตนได้หรือไม่?

ตามกฎหมาย PDPA ผู้ป่วยมีสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง โดยสามารถใช้สิทธิดังนี้

  1. ขอดูข้อมูล โดยผู้ป่วยสามารถขอเข้าถึงหรือขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของตนที่คลินิกจัดเก็บไว้
  2. ขอแก้ไขข้อมูล หากข้อมูลมีความคลาดเคลื่อน สามารถร้องขอให้คลินิกแก้ไขให้ถูกต้อง
  3. ขอลบข้อมูล ซึ่งผู้ป่วยสามารถขอให้ลบข้อมูลได้ในบางกรณี เช่น หมดความจำเป็นในการจัดเก็บ หรือถอนความยินยอม

ระบบจัดการข้อมูลผู้ป่วย (HIS / EMR) ต้องปฏิบัติตาม PDPA อย่างไร?

ระบบจัดการข้อมูลผู้ป่วย (HIS/EMR) ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) อย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูลผู้ป่วย 


โรงพยาบาลหรือคลินิกสามารถนำข้อมูลผู้ป่วยไปใช้เพื่อการตลาดได้หรือไม่?

โรงพยาบาลหรือคลินิกไม่สามารถนำข้อมูลผู้ป่วยไปใช้เพื่อการตลาดได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมอย่างชัดเจนจากผู้ป่วยก่อนเท่านั้น โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมาย 


Copyright © 2025 Proclinic Group Co., Ltd. All rights reserved.  

Published on : May 10, 2025